“TMI” หวังธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพ บูม ปั้นรายได้เพิ่ม ทำกำไรสูงสุดในรอบ 5 ปี พร้อมรุกทำตลาดธุรกิจส่องสว่าง ลุยเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ 10 รายการ ดันเป้าเติบโต 20%
นายธีระชัย ประสิทธิ์รัตนพร กรรมการผู้จัดการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท ธีระมงคล อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือTMI เปิดเผยถึงแนวโน้มการดำเนินธุรกิจในปี 2565 ว่า บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าเปิดธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวภาพ และธุรกิจส่องสว่างอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันรายได้ให้เติบโตอยู่ที่ 20% โดยความคืบหน้าของโรงไฟฟ้าชีวภาพแห่งที่ 3 ขนาดกำลังการผลิต 3 เมกะวัตต์ ในอำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรีนั้น ล่าสุด คาดว่าจะสามารถเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ภายในเดือนเมษายน 2565
ดังนั้นหลังจากที่โรงไฟฟ้าชีวภาพสามารถเดินเครื่องผลิตได้ตามแผน ทั้งแห่งใหม่ดังกล่าว รวมถึงอีก 2 แห่งเดิม คือ โรงไฟฟ้าชีวภาพ อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร, และ โรงไฟฟ้าชีวภาพ จังหวัดชุมพร โดยทั้ง 3 โรงมีกำลังการผลิตรวม 5.4 เมกะวัตต์ จะทำให้บริษัทฯ รับรู้รายได้จากธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวภาพเพิ่มมากขึ้นในปีนี้ รวมถึงกำไรก็จะกลับมาทำสถิติใหม่สูงสุดในรอบ 5 ปี ที่เคยทำกำไรได้ 35-36 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามหากการดำเนินธุรกิจไฟฟ้าชีวภาพเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ปีนี้บริษัทฯมีแผนที่จะขยายกำลังการผลิตโรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพเข้าพอร์ตเพิ่มอีก 3-8 เมกะวัตต์ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาหลายราย โดยจะเลือกทำเลรวมถึงปัจจัยอื่นๆ ที่เหมาะสมในการทำโรงไฟฟ้าชีวภาพเป็นหลัก ซึ่งการลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าหากเริ่มต้นกำลังการผลิตที่ 3 เมกะวัตต์ จะใช้เงินลงทุนอยู่ที่ประมาณ 200-300 ล้านบาท พื้นที่ในการก่อสร้างโรงงานไฟฟ้าอยู่ที่ประมาณ 29 ไร่ขึ้นไป แต่หากเป็นขนาด 8 เมกะวัตต์ ก็จะใช้เงินลงทุนที่สูงขึ้นตามดับ และพื้นที่ในการก่อสร้างจะไม่ต่ำกว่า 80 ไร่
ทั้งนี้นอกจากธุรกิจไฟฟ้าชีวภาพจะเป็นตัวขับเคลื่อนรายได้และกำไรปี 2565 ให้ปรับตัวดีขึ้นแล้ว อีกหนึ่งธุรกิจหลัก อย่าง ธุรกิจส่องสว่าง ในปีนี้บริษัทฯ มีแผนที่จะรุกทำตลาดอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ด้วยการเตรียมเปิดตัวสินค้าใหม่จำนวนกว่า 10 รายการ ในกลุ่มอุปกรณ์ไฟฟ้าส่องสว่างในบ้าน (Lighting) และ โซล่า เซลล์ ที่ใช้ตามบ้าน รองรับกลุ่มที่เป็นโรงแรม และอสังหาริมทรัพย์ ที่คาดว่าช่วงปลายปี 2565 จะกลับมาเปิดให้บริการและเปิดโครงการมากขึ้น จากคาดการณ์สถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่อนคลายลง
“ธุรกิจส่องสว่างบริษัทฯ เริ่มเห็นการเติบโตที่ปรับตัวดีขึ้น ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2564 โดยช่องทางขายสินค้าหลักอย่างศูนย์การค้ายังสามารถเปิดให้บริการ แม้มีการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน ที่รุนแรง ดังนั้นเชื่อว่าปี2565 นี้ธุรกิจส่องสว่างของเราจะยังคงเติบโตขึ้นต่อเนื่อง” นายธีระชัย กล่าว
นายธีระชัย กล่าวอีกว่า แม้ปีนี้ธุรกิจที่จะช่วยผลักดันรายได้และกำไรให้สูงขึ้น แต่สัดส่วนรายได้หลักของบริษัทยังมาจากธุรกิจส่องสว่าง อยู่ที่ 80%, ธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวภาพ สัดส่วน 20% แต่ภายใน 2-3 ปีนับจากปี 2565 สัดส่วนรายได้ของธุรกิจไฟฟ้าชีวภาพจะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 50% ทั้งนี้หากเทียบตัวกำไรแล้ว ธุรกิจไฟฟ้าชีวภาพก็สามารถทำกำไรได้มากกว่าธุรกิจส่องสว่าง สูงถึงกว่า 25-30%
สำหรับภาพรวมผลการดำเนินธุรกิจในปี 2564 ที่ผ่านมาของบริษัทฯ ถือว่าเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ โดยมีรายได้รวมอยู่ที่ 484.27 ล้านบาท สูงขึ้นกว่าปี 2563 เนื่องจากบริษัทฯ มีการเปิดตัวสินค้าใหม่เข้าทำตลาดหลายรายการ และลูกค้าตอบรับสินค้ากลุ่มใหม่เป็นอย่างดี เป็นต้น
Comments