บมจ.ชริ้งเฟล็กซ์ (ประเทศไทย) ชูศักยภาพการผลิตตอบโจทย์การสร้างแบรนด์ให้แก่ลูกค้า
เตรียมเสนอขาย IPO จำนวนไม่เกิน 120 ล้านหุ้น เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ
ก้าวสู่การเป็นผู้นำการให้บริการ Labeling Solutions ด้วยฉลากฟิล์มหดรัดรูปในภูมิภาคอาเซียน
บมจ.ชริ้งเฟล็กซ์ (ประเทศไทย) หนึ่งในผู้นำการให้บริการ Labeling Solutions แบบครบวงจร ด้วยผลิตภัณฑ์ฉลากฟิล์มหดรัดรูปในภูมิภาคอาเซียน ชูศักยภาพการผลิตด้วยระบบการพิมพ์และให้บริการแบบครบวงจร ช่วยสร้างภาพลักษณ์ทางการตลาดและสร้างแบรนด์ให้แก่ผู้บริโภคของลูกค้าผ่านฉลากฟิล์มหดรัดรูป เดินหน้าขยายไลน์การผลิตรองรับความต้องการลูกค้า ตั้งเป้าสู่ผู้นำด้านการผลิตบรรจุภัณฑ์ฟิล์มหดรัดรูปในภูมิภาคอาเซียน พร้อมเสนอขาย IPO จำนวนไม่เกิน 120 ล้านหุ้น เดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาด เอ็ม เอ ไอ หลังสำนักงาน ก.ล.ต.นับหนึ่งแบบไฟลิ่ง
นายซุง ชง ทอย ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชริ้งเฟล็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SFT เปิดเผยว่า บริษัทฯ เป็นหนึ่งในผู้นำการให้บริการ Labeling Solutions แบบครบวงจร ด้วยผลิตภัณฑ์ฉลากฟิล์มหดรัดรูปในภูมิภาคอาเซียน โดยอาศัยจุดแข็งด้านประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมผลิตฉลากฟิล์มหดรัดรูปมานานกว่า 12 ปี เข้าไปช่วยตอบโจทย์ทางการตลาดในการสร้างภาพลักษณ์แก่แบรนด์สินค้า (Brand Identity) ผ่านการให้บริการที่ครบวงจรตั้งแต่ การให้คำปรึกษาเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ การเลือกรูปทรงบรรจุภัณฑ์และการออกแบบฉลากผลิตภัณฑ์ รวมถึงให้คำปรึกษาด้านเทคนิคการหดตัวของฉลากฟิล์ม (ชริ้ง) เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรม อาทิ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ความงามและของใช้ในครัวเรือน เป็นต้น
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีความพร้อมด้านการพิมพ์ฉลากฟิล์มหดรัดรูปด้วยรูปแบบการพิมพ์แบบกราเวียร์ ซึ่งเป็นระบบการพิมพ์ที่ต้องใช้แม่พิมพ์ มีคุณภาพความละเอียดสูง รวดเร็วและประหยัดเวลา รองรับความต้องการลูกค้ากลุ่มผู้ประกอบการขนาดใหญ่ที่ต้องการฉลากฟิล์มหดรัดรูปเป็นจำนวนมาก และระบบการพิมพ์แบบดิจิตอลซึ่งเป็นระบบการพิมพ์ที่ไม่ต้องใช้แม่พิมพ์ แต่จะใช้เทคนิคการสร้างภาพด้วยระบบเลเซอร์ รองรับความต้องการกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม ที่มีปริมาณงานพิมพ์จำนวนไม่มาก และต้องการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของฉลากที่รวดเร็ว (Made to order) ทำให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าทั้งในเชิงคุณภาพ ปริมาณและความรวดเร็ว โดยปัจจุบัน บริษัทฯ มีฐานลูกค้าหลักรายใหญ่ อาทิ บริษัท โออิชิ เทรดดิ้ง จำกัด, บมจ.อิชิตัน กรุ๊ป, บมจ.ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง, บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ, บริษัท เบทเตอร์เวย์ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังให้บริการรับออกแบบและผลิตแม่พิมพ์ เพื่อใช้ในการผลิตฉลากฟิล์มหดรัดรูป และมีการนำเข้าผลิตภัณฑ์ฟิล์มยืดเพื่อใช้ในการห่อรัดสินค้าบนพาเลทเพื่อลำเลียงขนส่ง และจำหน่ายให้แก่ลูกค้าของบริษัท ที่ช่วยให้ SFT สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มสูงสุดจากการดำเนินธุรกิจที่ครบวงจรอีกด้วย
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SFT กล่าวว่า บริษัทฯ มีเป้าหมายก้าวเป็นหนึ่งในผู้นำการให้บริการ Labeling Solutions แบบครบวงจร ด้วยผลิตภัณฑ์ฉลากฟิล์มหดรัดรูปในภูมิภาคอาเซียน ที่มุ่งตอบสนองความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้าในภาคอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยมีแผนขยายกำลังการผลิตฟิล์มหดรัดรูปในกลุ่มฟิล์มใสที่มีความหดตัวสูง (POF Shrink Film) และเพิ่มไลน์การผลิตใหม่ๆ ไปสู่กลุ่มบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน (Flexible Packaging) รวมถึงบริหารจัดการกำลังการผลิตฉลากฟิล์มหดรัดรูป เพื่อตอบสนองความต้องการสินค้าที่ใช้ฉลากฟิล์มหดรัดรูปทั้งด้านปริมาณและความรวดเร็ว
นางรสสุคนธ์ ศานติกุลวงศ์ ผู้จัดการฝ่ายบัญชีและการเงิน SFT กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563 (มกราคม-มิถุนายน) บริษัทฯ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยทำรายได้รวม 330.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.05% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีรายได้รวม 294.95 ล้านบาทและมีกำไรจากการดำเนินงาน 49.64 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.38% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อนที่ทำได้ 43.40 ล้านบาท ซึ่งมีปัจจัยความสำเร็จมาจากกลุ่มลูกค้าในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มที่คิดเป็น 80% ของฐานลูกค้าทั้งหมด มียอดสั่งผลิตฉลากฟิล์มหดรัดรูปเพิ่มขึ้นตามปริมาณความต้องการสินค้าที่สูงขึ้น ประกอบกับการบริหารจัดการต้นทุนการผลิตที่มีประสิทธิภาพทำให้เกิดการประหยัดต่อหน่วย ส่งผลให้กำไรขั้นต้นอยู่ในเกณฑ์ดีและสนับสนุนการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกเติบโตได้ตามแผน
นายคมกฤต มีคำสัตย์ กรรมการผู้จัดการ สายงานตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ อาร์ เอช บี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า หลังจาก บมจ.ชริ้งเฟล็กซ์ (ประเทศไทย) ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อขอเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชน (IPO) ล่าสุด สำนักงาน ก.ล.ต. ได้นับหนึ่งแบบไฟลิ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 9 กันยายนที่ผ่านมา
ปัจจุบัน บริษัทฯ มีทุนจดทะเบียนจำนวน 220 ล้านบาท แบ่งเป็น 440 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท โดยเป็นทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วจำนวน 160 ล้านบาท และจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 120 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 27.27 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการออกและเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ โดยจะนำเงินส่วนใหญ่ที่ได้จากการระดมทุนไปลงทุนก่อสร้างโรงงานแห่งที่ 2 พร้อมกับลงทุนในเครื่องจักร รองรับการขยายธุรกิจไปสู่ตลาดใหม่ๆ เพื่อผลักดันการเติบโตในอนาคต ส่วนที่เหลือจะนำไปชำระเงินกู้สถาบันการเงินและเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานต่อไป
Comments