top of page
379208.jpg

NER ตั้งเป้ารายได้ปี 2565 ที่ 28,000 ล้านบาท

NER ตั้งเป้ารายได้ปี 2565 ที่ 28,000 ล้านบาท

จากกระแสโลกร้อนที่หันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) กันมากขึ้น

บมจ. นอร์ทอีส รับเบอร์ (NER) ตั้งเป้า ปี 2565 รายได้ 28,000 ล้านบาท จากความต้องการใช้ยางยังดีต่อเนื่อง ประกอบกับกำลังการผลิตของโรงงานเดินเครื่องได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ พร้อมเตรียมจำหน่ายแผ่นยางปูรองปศุสัตว์ ในช่วงไตรมาส 1/2565 ภายใต้แบรนด์ cattleFlex ซึ่งสินค้าดังกล่าวเป็นสินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นในระดับสูง พร้อมเตรียมงบ 240 ลบ. ลงทุนโซลาร์รูฟ-วิจัยผลิตภัณฑ์ใหม่

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆและกลุ่มผู้ค้าคนกลางทั้งในประเทศและต่างประเทศ เปิดเผยถึงเป้าหมายการเติบโตของรายได้รวมในปี 2565 ว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ 28,000 ล้านบาท จากปี 2564 ที่คาดโตได้ตามเป้าที่ 24,500 ล้านบาท โดยมองว่าความต้องการใช้ยางพาราในอุตสาหกรรมยังดีต่อเนื่อง ซึ่งปัจจัยหนุนหลายด้าน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการผลิตถุงมือยาง นอกจากนี้หากสถานการณ์โควิด คลี่คลายก็จะทำให้การเดินทางมากขึ้นก็ยังส่งผลดีต่อความต้องการใช้ยางรถยนต์เพิ่มมากขึ้น ส่วนปริมาณการขายคาดว่าจะสามารถทำยอดขายยางพาราอยู่ที่ 500,000 ตัน จากกำลังการผลิตทั้งหมด 510,000 ตัน โดยสัดส่วนของยอดขายในปี 65 บริษัทยังวางนโยบายการจำหน่ายสินค้าในประเทศและต่างประเทศเป็น 65:35 เพื่อหลีกเลี่ยงความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และ ค่าระวางเรือที่ปรับเปลี่ยนในทิศทางที่สูงขึ้น


สำหรับสถานการณ์ยางกำลังมีทิศทางที่ดีขึ้น โดยในไตรมาส 1 ของปี 2565 มีปัจจัยบวกที่สนับสนุนเนื่องจาก ยางพารากำลังเข้าสู่ฤดูการปิดกรีด จึงเกิดปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบ และ อุปทานลดต่ำลงตามฤดูกาล ในขณะที่ความต้องการนำเข้ายางของจีนมากขึ้นและบริษัทผู้ผลิตเริ่มสต๊อกยางธรรมชาติ คาดว่าการบริโภครายเดือนจะสูงถึง 500,000 ตัน นอกจากนี้ ความต้องการยางในประเทศอื่น ๆ ก็เพิ่มสูงขึ้น

โดยสมาคมรถยนต์โดยสารแห่งประเทศจีน (CPCA) ได้มีการรายงานว่ายอดจำหน่ายรถยนต์โดยสารพลังงานใหม่ในจีนรวม 2.99 ล้านคันในปี 2564 เพิ่มขึ้นร้อยละ 169.1 เมื่อเทียบกับปี 2563 และมียานยนต์ที่จดทะเบียนในปี 2021 รวม 36.74 ล้านคัน ทำให้จำนวนยานยนต์ที่จดทะเบียนเพิ่มขึ้นเป็น 395 ล้านคัน ซึ่งเป็นรถยนต์ 302 ล้านคันทั้งนี้ มีรายงานยอดการผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้นถึง 5.4% หรือประมาณ 25.7 ล้านคัน ในปี 2565 จึงมีโอกาสหนุนให้ราคายางปรับตัวขึ้นแตะระดับ 70 บาท/กิโลกรัมได้ ขณะที่ทั้งปีคาดว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 65-67 บาท/กิโลกรัม


ด้านแผนงานธุรกิจปลายน้ำ ผลิตภัณฑ์แผ่นปูนอนรองวัว ภายใต้แบรนด์ cattleFlex ยังเป็นไปตามแผนงาน โดยคาดว่าจะติดตั้งเครื่องจักรได้แล้วเสร็จในไตรมาส 1 ของปี 2565 โดยมีปริมาณการขายในปี 2565 ที่ 280,000 แผ่น คิดเป็นรายได้ประมาณ 500 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างทำการเจราจากับกลุ่มประเทศต่างๆ ให้เป็นตัวแทนการจำหน่ายสินค้า (Distributer) ซึ่งในเฟสแรกมีทั้งหมด 13 ประเทศ โดยผลิตภัณฑ์แบ่งเป็น 4 รุ่น ได้แก่ รุ่น Pro พรีเมียมระดับมาตรฐานยุโรป รุ่น Tuf ทนทานในราคาที่จับต้องได้ รุ่น Calf พิเศษสำหรับลูกวัว และรุ่น Move สำหรับทางเดินในฟาร์มปศุสัตว์


นอกจากนี้บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ที่ประมาณ 240 ล้านบาท โดย100 ล้านบาทแรก จะใช้ลงทุนด้านพลังงานทดแทนแสงอาทิตย์ (โซลาร์) นำมาทดแทนพลังงานที่บริษัทต้องซื้อ เพื่อช่วยประหยัดต้นทุนพลังงานของบริษัท และ 40 ล้านบาท ลงทุนด้านหุ่นยนต์ดึงยางเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการผลิต เพื่อหนุนปริมาณยอดขายที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่วนที่เหลืออีก 100 ล้านบาท บริษัทจะนำไปใช้ในการสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนา (R&D) ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ปลายน้ำหรือผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปตามนโยบายบริษัท เพื่อที่จะรุกสินค้าในกลุ่มนี้เพิ่มมากขึ้น เพื่อสร้างมูลค่าและกำไรให้กับบริษัทมากยิ่งขึ้น

16 views

Comments


bottom of page