top of page
379208.jpg

ประชุมเฟด 10-11 ธ.ค. 62 คาดเฟดส่งสัญญาณคงอัตราดอกเบี้ย...ขณะที่วัฏจักรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยยังไม่สิ


ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมนโยบายการเงินรอบสุดท้ายของปี 2562 เพื่อรอประเมินพัฒนาการทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ รวมถึงการส่งผ่านผลกระทบของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ ในการเปิดเผยประมาณการเศรษฐกิจและคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยครั้งใหม่ เฟดน่าจะยังคงมุมมองต่อการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งบ่งชี้ถึงโอกาสที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.50-1.75% ต่อเนื่องอีกสักระยะ

อย่างไรก็ดี วัฏจักรการผ่อนคลายนโยบายการเงินของเฟดยังไม่สิ้นสุด โดยเฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมในปี 2563 ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ยังอยู่ในระดับสูง รวมไปถึงกรณี

ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) น่าจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อรอประเมินภาพเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในการประชุมนโยบายการเงินรอบสุดท้ายของปี 2562 โดยในการประชุมนโยบายการเงินรอบนี้ เฟดจะเปิดเผยประมาณการเศรษฐกิจและคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยรอบใหม่ ซึ่งในภาพรวม เฟดน่าจะยังคงมุมมองต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เช่นในครั้งก่อนที่มองว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี 2563 จะขยายตัวได้ประมาณ 1.8-2.1% จะชะลอลงจากปี 2562 เล็กน้อย ขณะที่การส่งสัญญาณต่อระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสนับสนุนมุมมองการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดในช่วง 1-3 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่จะเปิดเผยในช่วงต้นปี 2563 คงเป็นตัวสะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ว่าเป็นไปในทิศทางที่เฟดคาดการณ์หรือไม่ โดยปัจจัยดังกล่าวจะเป็นเงื่อนไขในการตัดสินใจดำเนินนโยบายการเงินของเฟดในระยะต่อไป

ท่ามกลางความเสี่ยงของการขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า ส่งผลให้ตลาดยังมีมุมมองว่า เฟดน่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกในปี 2563

  • ทิศทางการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ปี 2563 ยังเผชิญความเสี่ยงสูง โดยภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลงและความไม่แน่นอนทางด้านการค้าที่อยู่ในระดับสูงยังเป็นปัจจัยกดดันต่อภาคธุรกิจของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในภาคการผลิตที่เริ่มเผชิญกับสัญญาณการชะลอลงของคำสั่งซื้อ หากสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนยังคลุมเครือและลากยาวออกไป จะเป็นปัจจัยซ้ำเติมต่อภาพการลงทุนของภาคธุรกิจ และอาจส่งผ่านผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปยังตลาดแรงงาน ในขณะเดียวกัน ผลการปรับลดภาษีรายได้ที่สิ้นสุดลงผนวกกับแรงกดดันจากมาตรการกีดกันทางการค้าที่ทำให้ราคาสินค้าในประเทศสูงขึ้นก็อาจจะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการบริโภคของภาคเอกชน ซึ่งปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่จะเติบโตต่ำกว่าระดับศักยภาพ

ความเสี่ยงจากประเด็นข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ยังเป็นตัวแปรสำคัญต่อทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินสหรัฐฯ ในปี 2563 โดยเฉพาะในกรณีที่สหรัฐฯ ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับจีนได้ และนำไปสู่การยกระดับการจัดเก็บภาษีการค้ารอบใหม่ในวันที่ 15 ธ.ค. 2562 ซึ่งครอบคลุมสินค้าอุปโภคในสัดส่วนที่สูง โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคขั้นปลายที่จะถูกเก็บภาษีเพิ่มขึ้น โดยปัจจัยดังกล่าวจะเป็นแรงกดดันเพิ่มเติมต่อภาคการบริโภคของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ทำให้มีโอกาสเพิ่มขึ้นที่เฟดจะพิจารณาผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมเพื่อลดทอนผลกระทบจากความเสี่ยงของการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ หากข้อขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนบานปลายและลากยาวออกไป

ผลต่อเศรษฐกิจไทย มุมมองของตลาดต่อโอกาสการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 2563 และพัฒนาการทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ยังเผชิญความเสี่ยงในระดับสูง อาจเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อทิศทางการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ฯ ในระยะข้างหน้า และสร้างแรงกดดันให้ค่าเงินบาทยังอยู่ในทิศทางแข็งค่า ซึ่งยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

6 views
bottom of page