เบนทิศธุรกิจ ตั้งยุทธศาสตร์ใหม่ เพื่อให้บริษัทเดินหน้าอย่างยั่งยืน เตรียมจัดงบฯ เพื่อการลงทุนรองรับพร้อมสรรพ เบื้องต้นวางแผนร่วมทุนกลุ่มสตาร์ทอัพ 1,000 ล้านบาท...ผู้บริหารยอมรับผลการดำเนินงานปีนี้รับผลกระทบเต็มๆ จากค่าการกลั่นที่ลดลง แต่มั่นใจไตรมาส 4 /2562 ค่าการกลั่นจะฟื้นคืนชีพทำให้สถานการณ์ดีขึ้น
บริษัท ไทยออยล์ หรือ TOP เป็นผู้ประกอบธุรกิจการกลั่นและจำหน่ายน้ำมันปิโตรเลียมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และกล่าวได้ว่าเป็นโรงกลั่นที่มีประสิทธิภาพสูงสุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งก่อตั้งมายาวนาน 58 ปี นับจากปี พ.ศ. 2504 โดยมีธุรกิจหลักคือ การกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม ปัจจุบันมีกำลังการผลิต 275,000 บาร์เรลต่อวัน มีส่วนแบ่งทางการตลาด 30 % ของประเทศ นอกจากนั้นไทยออยล์ยังมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องหลากหลาย เช่น ธุรกิจปิโตรเคมี ธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน ธุรกิจไฟฟ้า ธุรกิจสารทำละลาย ผลกำไรบริษัทได้มาจาก ธุรกิจการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม 60 % ธุรกิจอะโรเมติกส์ และธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน 23% ธุรกิจไฟฟ้า 12% อื่นๆ 5%
แม้จะเป็นบริษัทใหญ่ ด้านพลังงานที่มีมาร์เก็ตแชร์ใหญ่ แต่ อุตสาหกรรมปิโตรเลียมจัดว่าเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ถูก disrupt จากกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก การจะ มุ่งเป้าสู่การเป็นองค์กร 100 ปีในอนาคต ตามเป้าหมายจึงต้องปรับตัวครั้งใหญ่
นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ หรือ TOP เปิดยุทธศาสตร์ระยะสั้น-ยาว เป็นแนวทางบริหารยุคใหม่รับมือการถูก Disrupt จากธุรกิจโรงกลั่นที่ถูกคุกคามด้วยเทคโนโลยีและพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไป รวมทั้งแนวทางรักษ์โลก ที่ภาครัฐของประเทศต่างๆกำหนดนโยบายเรื่องของยานยนต์และพลังงานที่เปลี่ยนไป
“อุตสาหกรรมปิโตรเลียมนับเป็นอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว DISRUPT จากกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกไม่ว่าจะมีสาเหตุจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก รวมถึงการพัฒนาทางเทคโนโลยีที่สามารถเพิ่มประสิทธิการใช้พลังงาน ทำให้เกิดผลกระทบทางธุรกิจ ทางไทยออยล์จึงวางแผนกลยุทธ์ ซึ่งนอกจากการเพิ่มจุดแข็งทางธุรกิจการกลั่นน้ำมันและไฟฟ้าด้วยโครงการ CFP การขยายห่วงโซ่ธุรกิจด้านเคมีแล้วยังมุ่งหวังการเดินหน้าธุรกิจนวัตกรรม SEED THE OPIONS”
ทั้งนี้ นายวิรัตน์ ได้ประกาศว่า จะดำเนินการตามยุทธศาสตร์ นำ ไทยออยล์ ไปสู่การพลิกโฉมโรงกลั่นไทยออยล์ให้เป็นโรงกลั่นระดับโลก โดยเสริมทัพด้วยการต่อยอดธุรกิจผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและธุรกิจเชิงนวัตกรรม โดยรักษา Core Business ไว้ และอัพเกรดผลิตภัณฑ์โดยโครงการพลังงานสะอาด CFP ซึ่งจะทำให้โครงสร้างรายได้ปรับเปลี่ยนจากเดิม
ไทยออยล์ ยังมีเป้าหมายสู่ความเป็นเลิศ ผ่านทางบุคลากร เทคโนโลยี และการนำระบบดิจิทัลมาใช้ประโยชน์ ด้วย
อย่างไรก็ตาม การปรับตัวสู่ยุทธศาสตร์ใหม่นี้ จำเป็นที่จะต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อย แต่ทางฝ่ายบริหารระบุว่า เรื่องเงินตอนนี้ไม่มีปัญหา
ตามยุทธศาสตร์ระยะ 5 ปี(2562-2566) บริษัทมีแผนลงทุนเป็นจำนวนเงินทั้งหมดประมาณ 4,834 ล้านดอลลาร์ ซึ่งส่วนใหญ่ ใช้ลงทุนในโครงการพลังงานสะอาด (CFP) โดยบริษัทมีแผนการจัดหาเงินทุนโดยใช้เงินสดที่บริษัทมีอยู่ประกอบกับเงินสดจากการดำเนินงานในอนาคต และการจัดหาเงินผ่านการกู้ยืม และ/หรือออกหุ้นกู้เพิ่มเติมโดยพิจารณาตามสภาวะตลาดตราสารหนี้ที่เหมาะสม เช่นเมื่อกลางเดือนตุลาคม 2562 ที่ผ่านมา บริษัทเพิ่งออกขายหุ้นกู้สกุลดอลลาร์ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิ จำนวนรวม 565 ล้านดอลลาร์เป็นการเสริมความแข็งแกร่งด้านการเงินของบริษัทในช่วงสถานการณ์อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกอยู่ในระยะต่ำและเศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอนในปัจจุบัน โดยหุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการตอบรับดีมากขายหมดอย่างรวดเร็ว
ในเบื้องต้น ไทยออยล์ได้จัด งบประมาณ 1,000 ล้านบาท เพื่อร่วมลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพหรือกองทุนร่วมลงทุนในธุรกิจใหม่ ในปี 2562-2564 เพื่อเป็นโอกาสการดำเนินธุรกิจเพื่ออนาคตรองรับทิศทางของโลกที่ลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงฟอสซิล โดยขณะนี้ลงทุนกองทุนร่วมลงทุนในสหรัฐไปบางส่วนแล้ว และกำลังพิจารณาร่วมลงทุนผู้ประกอบการในประเทศอิสราเอล เพราะเป็นประเทศที่มีงานวิจัยด้านวัตกรรมจำนวนมาก มีสตาร์ทอัพมากกว่า 8,000 ราย จนถูกเรียกว่าเป็น Startup Nation หรือชาติแห่งสตาร์ทอัพ โดยมีเทคโนโลยีหลายประเภทที่ไทยออยล์สามารถนำมาต่อยอดร่วมกันได้
“ไทยออยล์เป็นโรงกลั่น นับว่าเป็นพื้นที่ที่พร้อมเป็นสถานที่ทดสอบนวัตกรรมใหม่เช่น กองทุนที่ร่วมทุนในสหรัฐ จะเข้ามาทดสอบนวัตกรรมลดการสั่นสะเทือนของเครื่องจักร หากประสบความสำเร็จจะช่วยลดต้นทุนการซ่อมบำรุงของเครื่องจักรโรงงานต่างๆ ได้ นับเป็นโอกาสทางธุรกิจของไทยออยล์ อย่างไรก็ตามการร่วมลงทุนรูปแบบนี้ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จเสมอไป ดังนั้นเงินร่วมทุนจึงไม่ได้ตั้งไว้สูง”
สำหรับโครงการด้านนวัตกรรม ทางไทยออยล์ได้เข้าสู่ธุรกิจใหม่ด้านวิจัยและพัฒนา การร่วมลงทุนกับสตาร์ทอัพในธุรกิจ 3 ด้านที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีด้านการผลิต (MNUFACTURING TECHNOLOGY)เทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม และพัฒนาคุณภาพชีวิต (GREEN&HUMAN TECHNOLOGY) และเทคโนโลยีเปลี่ยนธุรกิจปิโตรเลียม (HYDROCARBON DISRUPTION TECHNOLOGY)
ด้านผลการดำเนินงานในปี 2562 ผู้บริหารไทยออยล์ยอมรับว่า บริษัทรับผลกระทบจากค่าการกลั่นที่ลดลง
“ในช่วงต้นปี 2562 ภาพรวมค่าการกลั่นของโรงกลั่นน้ำมันภายในภูมิภาครวมทั้งไทยออยล์ปรับตัวลดลง กดดันจากอุปทานน้ำมันสำเร็จรูปที่ปรับเพิ่มขึ้นอันเป็นผลมาจากการเริ่มดำเนินงานของโรงกลั่นน้ำมันในประเทศจีน รวมถึงการที่สหรัฐฯคว่ำบาตรประเทศที่ซื้อน้ำมันดิบจากอิหร่านและเวเนซูเอล่า ส่งผลให้โรงกลั่นน้ำมันหลายแห่งในภูมิภาคต้องหันไปใช้น้ำมันดิบจากแหล่งอื่นที่มีคุณลักษณะค่อนข้างเบาทดแทน ส่งผลให้อุปทานน้ำมันสำเร็จรูปชนิดเบา โดยเฉพาะน้ำมันเบนซินปรับเพิ่มมากขึ้น กดดันส่วนต่างราคาและค่าการกลั่น
นอกจากนี้ บริษัทได้ดำเนินการหยุดซ่อมบำรุงใหญ่ตามแผนในช่วงปลายไตรมาส 2 มาถึงต้นไตรมาส 3 รวม 45 วัน ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการกลั่นปรับลดลง ทั้งนี้การซ่อมบำรุงใหญ่ได้เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกรกฎาคมและปัจจุบันอัตราการใช้กำลังกลั่นกลับมาอยู่ในระดับปกติ
อย่างไรก็ตามขณะนี้เริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น โดยในช่วงปลายไตรมาส 3/2562 ต่อเนื่องไตรมาส 4/2562 ซึ่งคาดว่าจะดีไปตลอดจนปี 2563 คือคาดว่าค่าการกลั่นจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันในภูมิภาคที่ยังขยายตัวต่อเนื่องรวมทั้งเข้าสู่ฤดูหนาว และฤดูการท่องเที่ยว ประกอบกับการบังคับใช้กฎระเบียบควบคุมการปล่อยกำมะถันของเรือเดินทะเล (IMO) ในวันที่ 1 มกราคม 2563 ที่กำหนดปริมาณกำมะถันที่ปล่อยออกจากเรือต้องลดลงจาก 3.5% เหลือ 0.5% ส่งผลให้เรือต้องเปลี่ยนจากการใช้น้ำมันเตากำมะถันสูงในปัจจุบันไปเป็นน้ำมันเตากำมะถันต่ำ หรือ น้ำมันดีเซลแทน ซึ่งจะส่งผลให้ส่วนต่างราคาน้ำมันสำเร็จรูปโดยเฉพาะดีเซล และค่าการกลั่นในภาพรวมปรับสูงขึ้น”