รายงานบทวิเคราะห์ของ บล.หยวนต้า ระบุ ทองคำกำลังเป็นสินทรัพย์ที่มีความต้องการเร่งตัวขึ้น ส่งผลราคาทะยานสู่ระดับ 1,500 ดอลลาร์อย่างรวดเร็ว และคงมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นต่อไปในครึ่งปีหลัง 2562
ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นมากในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา โดยปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายนที่ 1,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ มาทดสอบ 1,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือเพิ่มขึ้นถึง 200 ดอลลาร์ คิดเป็น 15.40%
ทั้งนี้รายงานบทวิเคราะห์เรื่องทองคำจาก บล.หยวนต้า ระบุชัดเจนว่าการเร่งตัวขึ้นของราคาทองคำ มุ่งหน้าสู่ระดับ 1,500 ดอลลาร์ เนื่องจากทองคำกลายเป็นที่ต้องการของธนาคารกลาง และนักลงทุนมากขึ้น โดย World Gold Council รายงานโครงสร้างทองคำไตรมาส 2/2562 ที่ผ่านมาว่าความต้องการทองคำเพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน คิดเป็น 1,146 ตัน โดยส่วนที่เพิ่มขึ้นมากคือความต้องการเพื่อการลงทุนผ่าน ETF เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน 67% เป็น 67 ตัน และธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองคำเพิ่มขึ้น 50% เป็น 224 ตัน
ขณะที่ด้านอุปทานรวมเพิ่มขึ้น 4% เป็น 1,187 ตัน ที่เพิ่มขึ้นมากคือ การหมุนเวียนของเศษทองเก่า 9% เป็น 315 ตัน ตามทิศทางราคาทองคำที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
จากสภาพดังกล่าวทำให้ บล.หยวนต้า ประเมินว่า ราคาทองคำน่าจะมีทิศทางขาขึ้นต่อไปในเวลาที่เหลือของปีนี้ จาก Upside ของ Dollar Index ที่เริ่มจำกัด และการที่ทองคำถูกใช้เป็น Safe Haven ช่วงที่สินทรัพย์เสี่ยงมีความผันผวน ขณะที่แนวโน้มการอ่อนค่าของเงินบาทจะช่วยเปิด Upside ให้ราคาทองคำในประเทศ เป็นที่มาของการแนะนำนักลงทุนให้ซื้อทองคำในกรอบแนวรับ 1,420-1,430 และแนวต้าน 1,500-1,550
“ทั้งนี้แม้ว่าโครงสร้างตลาดจะเป็นอุปทานส่วนเกิน 2 ไตรมาสติดต่อกัน แต่เราไม่ได้มองเป็นลบ เพราะ 1) ภาวะอุปทานส่วนเกินลดลงเหลือ 41 ตัน จาก 72 ตัน ในไตรมาส 1/2562 2) เหตุผลที่เป็น อุปทานส่วนเกิน โดยหลักมาจากเศษทองเก่าที่นำกลับมาหมุนเวียนในตลาด ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสัญญาณที่บ่งชี้ว่าตลาดทองคำเป็นขาขึ้น
แนวโน้มอุปสงค์หรือความต้องการทองคำในช่วงเวลาที่เหลือของปี 2562 ยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อ เพราะเป็น High Season ถ้าแยกเป็นรายประเทศ ความต้องการทองคำปีนี้เพิ่มขึ้นจากอินเดียเป็นหลักที่ 372 ตัน หักล้างกับความต้องการจากจีนที่ลดลง 8% เหลือ 442 ตัน เพราะเงินหยวนอ่อนค่า 2% เทียบกับเงินรูปี ที่ทรงตัว ถ้าอิงนโยบายการเงินของธนาคารกลางจีนที่ต้องการให้เงินหยวนอ่อนค่า ความต้องการจากจีนจึงยังมีแนวโน้มชะลอตัวในครึ่งปีหลัง แต่เราคาดว่าความต้องการจากอินเดียจะเร่งตัว ขึ้นมาชดเชย เพราะกำลังเข้าสู่เทศกาล Diwali ในเดือนตุลาคม 2562 และฤดูแต่งงานในไตรมาส 4 ของทุกปี
อีกทั้งแรงซื้อของธนาคารกลางทั่วโลกยังมีแนวโน้มหนาแน่นต่อไป เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของเงินสกุล สำคัญ เช่น ดอลลาร์ และปอนด์ ซึ่งปกติธนาคารกลางจะซื้อทองคำในครึ่งปีหลังมากกว่าครึ่งปีแรก จึงยังเป็นไปได้ที่โครงสร้างตลาดจะพลิกเป็นอุปสงค์ส่วนเกินในไตรมาส 3 หรือไตรมาส 4”
รายงานของ บล.หยวนต้า ยังระบุถึงความเป็นไปได้ที่ทองคำจะขึ้นต่อไปว่า เนื่องมาจากสินทรัพย์ลงทุนที่มีจำกัด และปัจจัยแวดล้อมเชิงมหภาคยังสนับสนุนให้ทองคำเป็นขาขึ้น
“สนับสนุนให้กระจายการลงทุนในทองคำทั้งในรูปแบบของการลงทุนในทองคำแท่ง, กองทุนทองคำ GLD/ K-GOLD/ KT-PRECIOUS และการใช้เครื่องมือทางการเงินอย่าง Gold Futures หรือ Gold Online เพราะนอกจากแรงหนุนด้านโครงสร้างตลาดข้างต้นแล้ว มองว่าสินทรัพย์ลงทุนที่มีจำกัดจะทำให้ทองคำยิ่งได้รับความน่าสนใจมากขึ้น โดยตลาดหุ้นสหรัฐที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น สะท้อนมายัง VIX Index ที่ปรับตัว ขึ้นแรงสุดในรอบ 8 เดือนแตะ 25 จุด, พันธบัตรสหรัฐฯที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งพักเงินชั้นดีก่อนหน้านี้ อัตราผลตอบแทนของตัวอายุ 5 และ 10 ปีก็ต่ำเพียง 1.55% และ 1.75% ตามลำดับ, เงินสกุลสำคัญทั่วโลกเริ่มผันผวนมากขึ้น จากสงครามการค้าและค่าเงินระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่กลับมาปะทุ, ส่วน Dollar Index ก็ผันผวนในกรอบกว้างหลังจากขึ้นทดสอบแนวต้านสำคัญแถว 99-100 จุด แล้วไม่สามารถยืนเหนือได้ ด้วยเหตุและผลแล้ว แหล่งพักเงินเดียวที่พึ่งได้ในช่วงนี้จึงเป็นทองคำซึ่งเพิ่งอยู่ในขั้นฟื้นตัวจาก Bottom ของ รอบการปรับฐานชุดใหญ่
รูปแบบการเคลื่อนไหวในทางเทคนิคยังแกว่งในกรอบขาขึ้นเพื่อมุ่งทดสอบแนว ต้านที่ 1,500-1,550 ส่วนแนวรับสำคัญอยู่ที่ 1,420-1,430 แนะนำให้ติดตาม Price Ratio ของ Gold : Dollar Index และ Gold : SP500 ที่กำลังทดสอบแนวต้านสำคัญแถว 15 เท่า และ 0.50 เท่า ตามลำดับ หากทะลุผ่านขึ้นไปได้ จะยิ่งหนุนให้ราคาทองคำกระชากขึ้นแรง”