ก.ล.ต. เร่งศึกษา “Libra” ในโลกการเงินใหม่ไร้พรมแดน เพื่อประเมินผลกระทบควบคู่กับการกำกับดูแลที่เหมาะสม ระบุอาจมีความจำเป็นต้องแก้ไข หรือออกกฎหมายเพิ่มเติมเพื่อรองรับการกำกับดูแล ยืนยันพร้อมเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนมุมมองและแบ่งปันประสบการณ์จากผู้ปฏิบัติทั้งจากภาครัฐและเอกชน
นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการ สำนักงาน ก.ล.ต. กล่าวว่า ก.ล.ต. อยากให้ประชาชนได้เรียนรู้ “ลิบรา” โดยเฉพาะมีส่วนใดบ้างที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายในประเทศไทย จึงพร้อมทำหน้าที่เป็นหน่วยงานที่เปิดรับความคิดเห็นและเสริมสร้างองค์ความรู้ให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยเป็นตัวกลางสร้างเวทีวิชาการในประเด็นต่าง ๆ ที่น่าสนใจ เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมอง และพร้อมสนับสนุนการพัฒนา การนำนวัตกรรม เทคโนโลยี มาใช้ในกระบวนการตลาดทุน อย่างไรก็ตาม ก.ล.ต. เองจะติดตามความคืบหน้าด้านต่างๆ และเตรียมความพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงนี้
หลังจากที่เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2562 เฟซบุ๊ก และพันธมิตรผู้ร่วมก่อตั้ง (founding members) ที่เป็นบริษัทชั้นนำของโลกรวม 28 ราย เช่น วีซ่า มาสเตอร์การ์ด เพย์พาล อีเบย์ และอูเบอร์ ได้เปิดตัวคริปโตเคอร์เรนซีชื่อ “Libra” (ลิบรา) ที่จะเริ่มนำมาใช้ในปี 2563 เพื่อให้เป็นเงินดิจิทัลที่ใช้ได้อย่างแพร่หลายทั่วโลกที่เข้าถึงง่าย รวดเร็ว และต้นทุนต่ำ โดยมีลักษณะเป็นสเตเบิลคอยน์ (stable coin) ที่มีมูลค่าตามสินทรัพย์หนุนหลัง ต่างจากคริปโตเคอร์เรนซีอย่างบิตคอยน์ รวมทั้งมีความผันผวนน้อยกว่า
นอกจากนี้ เฟซบุ๊กและพันธมิตรได้จัดตั้งสมาคมลิบราขึ้นในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีลักษณะเป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไร เพื่อขับเคลื่อนและดูแลประเด็นต่าง ๆ เกี่ยวกับลิบรา เช่น ระบบบล็อกเชน และการบริหารจัดการทรัพย์สินที่เกี่ยวข้อง
กระแสความแรงของลิบรา ถูกจับตาเพราะก่อนเปิดบริการจริง เฟซบุ๊กตั้งใจจะหาพันธมิตรผู้ร่วมก่อตั้งประมาณ 100 ราย ซึ่งล้วนมีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับอยู่แล้ว มาร่วมลงทุนอย่างน้อยรายละ 10 ล้านดอลลาร์ ด้วยการออกและเสนอขาย Libra Investment Token (ซึ่งไม่ใช่เหรียญเดียวกันลิบรา คริปโตเคอร์เรนซีที่จะออกมาเป็นกลไกเพื่อการชำระเงิน) รวมถึงเฟซบุ๊กจะจัดตั้งบริษัทชื่อ Calibra เพื่อเป็นผู้ให้บริการ wallet สำหรับผู้ที่จะใช้ลิบราด้วย
กระแสลิบราเป็นที่สนใจของประชาชน และเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลตัวใหม่ที่กำลังจะเข้ามา แม้ในส่วนของอเมริกายังพิจารณาและให้เฟซบุ๊ก ผู้คิดสกุลเงินใหม่นี้ทบทวนสิ่งต่างๆอยู่ แต่ ก.ล.ต.ก็ไม่รอช้าได้จัดเวทีระดมความคิดจากคนที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนทันที
ทั้งนี้ ก.ล.ต. และเวทีสัมมนาเห็นว่า “Libra” ถือเป็นความท้าทายของโลก และอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้มีการใช้คริปโตเคอร์เรนซีแพร่หลายมากยิ่งขึ้น ซึ่งหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องจะต้องติดตามความคืบหน้าของลิบราและหารือกันอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินผลกระทบควบคู่กับการกำกับดูแลที่เหมาะสม ขณะที่เอกชนมองว่า “ลิบรา” จะอยู่นานหรือไม่ เป็นเรื่องที่ไม่มีใครทราบแน่ชัด แต่โซเชียลมีเดียและคริปโตเคอร์เรนซีจะคงอยู่อีกนาน
ทั้งนี้มีการประเมินว่า โอกาสและความท้าทาย เนื่องจากมีผู้ใช้บริการเฟซบุ๊กกว่า 2 พันล้านคนทั่วโลก จึงน่าจะมีผลกระทบในวงกว้าง โดยเฉพาะต่อการโอนเงินข้ามประเทศระหว่างรายย่อย ซึ่งจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถโอนเงินได้ทันทีเหมือนการส่งสติ๊กเกอร์ในไลน์แอปพลิเคชัน ขณะที่ภาคการเงิน และการธนาคารจะได้รับผลกระทบโดยตรง จึงต้องปรับตัวและหารูปแบบธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อรองรับ เพราะอาจจะสูญเสียธุรกิจการโอนเงิน ส่วนอีคอมเมิร์ซจะกลายเป็นโซเชียลคอมเมิร์ซ ที่ทำธุรกรรมผ่านโซเชียลมีเดีย และผู้ประกอบการเอสเอ็มอีก็จะเข้าถึงอีคอมเมิร์ซระดับโลกได้ง่ายขึ้น รวมทั้งโซเชียลแบงกิ้งจะมาแทนที่โมบายแบงกิ้ง
นอกจากนี้ อาจมีผู้เล่นรายอื่นเข้ามาแข่งขันกับลิบรา เช่น อาลีบาบา กูเกิล เทนเซ็นต์ และอเมซอน
ในส่วนของ ผลกระทบต่อภาครัฐ ภาครัฐอาจไม่สามารถเก็บข้อมูลเพื่อนำไปกำหนดนโยบายด้านการเงินและการคลังได้ เนื่องจากการทำธุรกรรมหรือกิจกรรมต่าง ๆ อาจไม่มีความจำเป็นต้องผ่านผู้ประกอบการหรือตัวกลางที่ภาครัฐกำกับดูแลอีกต่อไป แต่นั่นยิ่งทำให้ภาครัฐไม่ควรปิดกั้นหรือหยุดยั้งนวัตกรรม แต่ควรต้องศึกษาและเรียนรู้อย่างใกล้ชิด เพื่อหาทางบริหารจัดการความเสี่ยงให้ดีที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสี่ยงเชิงระบบ (systematic risk) รวมทั้งเพื่อให้สามารถวางนโยบายเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคได้อย่างเหมาะสม มีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย
ในการระดมความคิดที่ ก.ล.ต. จัดทำขึ้นยังสรุปด้วยว่าในด้านบริบททางกฎหมายและการกำกับดูแล ลิบราเป็นความท้าทายของหน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลกซึ่งมีท่าทีที่ค่อนข้างระมัดระวัง แม้จะเปิดใจแต่ก็ยังไม่เปิดรับโดยไร้การกำกับดูแล
“สำหรับประเทศไทย การกำกับดูแลลิบราโดยใช้กฎหมายในภาคการเงินที่มีอยู่อาจเป็นไปได้ยาก และต้องอาศัยการพิจารณาเพิ่มเติมว่า ลิบราเป็นเงินหรือไม่ ผู้ให้บริการลิบรา หรือ authorized reseller เป็นใครได้บ้าง เข้าข่ายการกำกับดูแลภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวข้องหรือไม่ อาทิ กฎหมายเกี่ยวกับธุรกิจสถาบันการเงิน การควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน หรือการทำธุรกรรมผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) และอาจมีความจำเป็นต้องแก้ไข หรือออกกฎหมายเพิ่มเติมเพื่อรองรับการกำกับดูแล”
ในขณะที่ด้านภาษีมีความจำเป็นต้องมีกระบวนการคิดใหม่ หากจะกำกับดูแล ความท้าทายอยู่ที่การเก็บภาษีจากอีคอมเมิร์ซที่ย้ายไปขายสินค้าและบริการบนเฟซบุ๊ก โดยใช้ลิบราเป็นสื่อกลางในการซื้อขายทั้งหมด ซึ่งอาจทำให้กรมสรรพากรไม่ได้รับข้อมูลสำหรับการกำกับดูแล
ก.ล.ต. อธิบายว่า สำหรับการกำกับดูแลภายใต้ พ.ร.ก. การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ
1) การออกและเสนอขาย Libra Investment Token (ไม่ใช่ลิบราที่เป็นคริปโตเคอร์เรนซี) ซึ่งหากจะเสนอขายในประเทศไทยจะต้องมาขออนุญาต อย่างไรก็ดี กรณีดังกล่าวมีความเป็นไปได้น้อยมาก เนื่องจากผู้ที่จะสามารถลงทุนใน Libra Investment Token ได้ต้องเป็นสมาชิกของสมาคมลิบรา ซึ่งกำหนดคุณสมบัติของบริษัทที่จะเข้าร่วมไว้สูงมาก และไม่ได้เปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปลงทุนใน Libra Investment Token
2) การขออนุญาตประกอบธุรกิจตัวกลาง (ศูนย์ซื้อขาย นายหน้า หรือผู้ค้า) ที่แสดงตนว่าจะให้บริการรับซื้อขายแลกเปลี่ยนลิบราในไทย
อย่างไรก็ตาม ประชาชนควรศึกษาเรื่องนี้ให้ดี ก่อนจะตัดสินใจ หรือได้รับการชักชวนเพื่อลงทุนใน ลิบรา ทั้งนี้จะมีการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล โดยภาครัฐควรเข้ามามีบทบาทในการกำกับดูแลเพื่อป้องกันภัยคุกคามต่อความเป็นส่วนตัว และให้ความรู้แก่ประชาชนเพื่อให้เกิดความตระหนักในเรื่องดังกล่าว สำหรับประเทศไทยซึ่งมีกฎหมายข้อมูลส่วนบุคคลใช้บังคับแล้วนั้น ก่อนที่ภาคธุรกิจจะสามารถนำข้อมูลไปใช้ได้ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ใช้บริการก่อน มิเช่นนั้นจะมีความผิดตามกฎหมาย
“ในเรื่องความเสี่ยงและข้อควรระวังสำหรับประชาชน หากมีผู้ฉวยโอกาสแอบอ้างหรือชักชวนให้ไปลงทุนในโครงการลิบรามีความเป็นไปได้สูงมากว่าเป็นการหลอกลวง เนื่องจากประชาชนทั่วไปไม่สามารถเข้าถึง Libra Investment Token ได้ ส่วนลิบราที่เป็นคริปโตเคอร์เรนซีก็ยังไม่เปิดให้บริการจริงในปัจจุบัน จึงต้องมีความระวังและศึกษาให้ดีก่อน”