top of page
312345.jpg

นักวิเคราะห์มองหุ้นไทยไตรมาส 2...ฟื้นไข้ด้วยแรงหนุนจากปัจจัยการเมือง


สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส (ASPS) ในกลุ่มบมจ.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (ASP) มองทิศทางตลาดหุ้นไทยไตรมาส 2/2562 สดใสขึ้น ด้วยแรงหนุนจากปัจจัยการเมือง ที่จะมีรัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง และกำไรบริษัทจดทะเบียน ไตรมาส 1/2562 ที่ดีขึ้น รวมถึงกระแสของฟันด์โฟลว์ที่จะไหลกลับ

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส(ASPS) กล่าวให้ความเห็น ภาพตลาดหุ้นไทยตามมุมมองว่า ตลาดหุ้นไทยไตรมาส 2 นี้จะดีขึ้น ตัวหนุนหลักๆ มาจากการเมือง แม้ว่าช่วงการจัดตั้งรัฐบาลอาจขลุกขลัก มีอุปสรรค แต่โดยภาพใหญ่ ASPS มองเป็นพัฒนาการบวก เนื่องจากมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

“จากนี้ไปตลาดจะให้น้ำหนักประเด็นหลักๆ คือ การเมืองในประเทศ ผลการเลือกตั้งตามระบบจัดสรรปันส่วนผสม ทำให้จำนวน ส.ส.กระจายตัวกันค่อนข้างมาก ทำให้เกิดขั้วทางการเมืองที่มีอำนาจต่อรองเพิ่มขึ้น จึงเกิดปรากฏการณ์การแย่งกันจัดตั้งรัฐบาล ทำให้การจัดตั้งรัฐบาลรอบนี้ มีอุปสรรคมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

โดยกรอบเวลาการเลือกตั้งรอบนี้ กกต.จะรับรองผลการเลือกตั้งให้ครบ 95% วันที่ 9 พ.ค. 2562 ดังนั้นช่วงเดือนเศษก่อนการรับรองผล จะเป็นช่วงการเจรจาต่อรองจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งเชื่อว่าจะจัดตั้งรัฐบาลได้จนสำเร็จ และกลายเป็นพัฒนาการเชิงบวกของการเมืองไทย ที่กลับมาอยู่ภายใต้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งจะส่งผลดีต่อฟันด์โฟลว์และ SET Index”

ขณะที่เชื่อว่า กระแสของฟันด์โฟลว์น่าจะไหลออกจำกัด หลังสหรัฐส่งสัญญาณชะลอการขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ กดดันให้ Bond Yield 10 ปีสหรัฐปรับตัวลงแรง มาอยู่ที่ 2.4% ต่ำสุดในรอบ 14 เดือน และต่ำกว่า Bond Yield 10 ปีของไทยที่ 2.58% ด้วยส่วนต่างที่ลดลงมาจนติดลบ ถือเป็นเกราะป้องกันฟันด์โฟลว์ไหลออกจากไทย ประกอบกับผลตอบแทนจากตราสารหนี้ ที่อยู่ในระดับต่ำ น่าจะดึงเม็ดเงินกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น

นอกจากนี้ ผลประกอบการของ บจ.ในไตรมาส 1/2562 คาดว่ากำไรจะฟื้นตัวดีขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากการบันทึก stock gain ของกลุ่มพลังงาน ส่วนปัจจัยภายนอก เรื่องของสงครามการค้าสหรัฐกับจีนผ่อนคลายลง โดยสหรัฐยังคงบีบจีนให้นำเข้าสินค้าจากสหรัฐมากขึ้น โดยใช้การชะลอขึ้นภาษีนำเข้าวงเงิน 2 แสนล้านเหรียญ อัตรา 10%เป็นข้อต่อรองต่อไป

“ผลกระทบจากเก็บภาษีนำเข้า 2 รอบวงเงิน 5 หมื่นล้านเหรียญ ภาษีนำเข้า 25% ยังมีอยู่ และยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐและจีน หลังจากผ่านจุดสูงสุดไปแล้วในช่วงกลางปี 2561

ขณะที่วัฏจักรดอกเบี้ยโลกขาขึ้นได้สิ้นสุดลงแล้ว และมีแนวโน้มปรับลง เห็นได้จากการประชุม ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด ล่าสุด ส่งสัญญาณยุติการขึ้นดอกเบี้ยชัดเจน โดยดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันอยู่ที่ 2.5% หลังได้ขึ้นดอกเบี้ยฯไปนับตั้งแต่ ธันวาคม 2558 จนถึงปัจจุบัน รวม 9 ครั้ง ราว 2.25% และเชื่อว่าประเทศอื่นๆ จะชะลอการขึ้นดอกเบี้ยตามสหรัฐด้วย”

ทั้งนี้คาด GDP Growth ปี 2562 เติบโต 3.4% ปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากในประเทศ คือ การบริโภคครัวเรือนและการลงทุนจากการสานต่อและเดินหน้ากระตุ้นของรัฐบาลชุดใหม่

อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิตลาดปี 2562 ASPS ได้ปรับลดประมาณการลง เพื่อสะท้อนผลกระทบจากการที่ บจ.ต้องตั้งสำรองรายการผลประโยชน์พนักงานตามพ.ร.บ. แรงงานฉบับแก้ไขรวมถึงการปรับสมมุติฐานอัตราแลกเปลี่ยน จากเดิมกำหนดที่ 33 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ มาเป็น 32 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ภายหลังการปรับปรุง คาดกำไรสุทธิตลาดรวมที่ราว 1.06 ล้านล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น(EPS) ที่ 106.58 บาท/หุ้น แต่ด้วยฐานกำไรที่ต่ำกว่าปกติในงวดปี 2561 ทำให้ EPS Growth ของตลาดหุ้นไทย ยังเติบโตได้ถึง 9% ใกล้เคียงกับตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน

หากคงระดับ PER เป้าหมายที่ 16 เท่า จะให้ SET Index เป้าหมายปี 2562 อยู่ที่ 1705 จุด มี Upside จำกัด ราว 4.4%

ดังนั้น สายงานวิจัย ASPS จึงคงน้ำหนักการลงทุนในหุ้น 50% และให้เน้นไปที่หุ้นรายตัว ที่แนวโน้มกำไรเด่นในไตรมาส 1/2562 เช่น PTT, STPI และหุ้นที่เติบโตตามการลงทุนและการบริโภคในประเทศ เช่น BBL, BJC, BGRIM, JMT, M, STEC รวมทั้งหุ้นผันผวนน้อยกว่าตลาด เช่น BCH

12 views
bottom of page