top of page
312345.jpg

หุ้นไทยยังมีโอกาสตีกลับ..คาดหวังช่วงฮันนีมูนพีเรียด


“อิสระ อรดีดลเชษฐ์” แห่ง บล.กรุงศรี มองต่างมุม มั่นใจตลาดหุ้นไทยเป็นกระทิงหลังเลือกตั้ง ถ้าหุ้นจะตกก็เป็นเพียงผลระยะสั้นๆ เท่านั้น เชื่อปีนี้ได้เห็นดัชนีปรับขึ้นถึง 1,900 จุด โอกาสนักลงทุนยังมีแต่ยากขึ้น พร้อมถอนตัวรับไซเคิลขาลงปี 2020

นายอิสระ อรดีดลเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุดกลุ่มงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรี ให้ความเห็นด้วยมุมมองที่แตกต่าง และสร้างขวัญกำลังใจให้กับนักลงทุนเกี่ยวกับทิศทางตลาดหุ้นไทยหลังการหย่อนบัตรเลือกตั้ง 2562 ว่าจะทำให้ภาพชัดเจนขึ้นและจะมีช่วงฮันนีมูนพีเรียดอย่างน้อย 5-6 เดือน ทำให้นักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้ามา และดันให้ดัชนีหุ้นสามารถพลิกกลับขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่ง

“เรามองในแง่ที่เป็นบวก ต้องเท้าความเล็กน้อยหากจะดูว่าเลือกตั้งเสร็จแล้วผลจะเป็นอย่างไรตลาดจากนี้ต่อไปอีก 9-12 เดือนข้างหน้าจะเป็นอย่างไร โดยให้น้ำหนักปัจจัยภายนอกด้วย

มุมมองที่เรามองในฐานะที่เป็นนักวิเคราะห์ของ บล.กรุงศรี อันแรกเลยคือมองว่าโลกกำลังจะเปลี่ยน ซึ่งเป็นปัจจัยหลัก มีน้ำหนักมากกว่าเรื่องของการเมือง โดยถ้าสังเกตจะเห็นว่า ตัวเลขสถิติเศรษฐกิจอเมริกา 2 เดือนที่ผ่านมาเริ่มแผ่วๆ ลงมา ขณะที่ตัวเลขของกลุ่มอีเมอร์จิ้งมาร์เก็ตรวมถึงของจีนและทางยุโรปเองดูเหมือนว่าบางแห่งมีการขยับขึ้นนิดหน่อย เริ่มมีสัญญาณแข็งค่าขึ้น อันนี้มองว่าเป็นเทรนด์ ว่าจากนี้ต่อไปเราจะเห็นชัดขึ้นแล้วว่าสหรัฐอเมริกาจะค่อยๆ ซอฟต์ลงมา

ถามว่าเกิดอะไรขึ้น... จริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องอะไรที่ลึกลับ ถ้าจำได้เมื่อปีที่แล้วทางสหรัฐอเมริกามีการใช้นโยบายทางการคลังขนานใหญ่เลยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทีนี้พอมันข้ามปีมา การส่งผ่านพลังมันจะค่อยๆลดลง จนกระทั่งปีนี้ก็ลดลง เศรษฐกิจเป็นวงจรที่มันชะลอตัวลงมา จากปีก่อนที่เราเห็นเม็ดเงินต่างๆจากเอเชียและอีเมอร์จิ้งมาร์เก็ตวิ่งไปที่สหรัฐอเมริกาจนหมด แล้วพอปีนี้สหรัฐอเมริกาเริ่มชะลอตัวลงมา เม็ดเงินก็จะต้องหาที่ใหม่ไป ซึ่งเริ่มมีสัญญาณแล้ว นั่นคือกลับมาที่เอเชีย

สิ่งที่เป็นตัวกระตุ้นให้เงินทุนไหลเข้าสู่ภูมิภาคนี้ จริงๆ คือ หนึ่ง การฟื้นตัวของจีน...ทีนี้พอเป็นจีนแล้วเรามองอะไร ...อยากให้นักลงทุนคอยจับตามอง 2-3 ดัชนีนี้ อันแรกที่สำคัญที่สุดเป็นเรื่องของตัวอัตราเร่งการปล่อยสินเชื่อ หรือ เครดิตอิมพัลส์ มันเริ่มขยับขึ้นมา 2 เดือนแล้ว ซึ่งตัว เครดิตอิมพัลส์ นี้ จะเป็นตัวชี้นำวงจรธุรกิจของจีนประมาณ 4 เดือนล่วงหน้า ก็หมายความว่าของจีนขึ้นมาแล้ว 2 เดือน แต่เนื่องจากมีช่วงของตรุษจีนด้วยก็ให้เป็น 5 เดือนแล้วกันที่ชี้นำ ก็จะเห็นตัวเลขจีนเริ่มเข้มแข็งประมาณพฤษภาคม-มิถุนายนนี้

สอง คือรัฐบาลจีนเริ่มมีการออกพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มขึ้นค่อนข้างเร็ว ค่อนข้างเยอะ ตรงนี้จะเป็นตัวที่ทำให้ไปดูข้อมูลของการลงทุนในกลุ่มอินฟราสตัคเจอร์ ที่ฟื้นตัวเพิ่มขึ้นมาค่อนข้างเยอะในจีน ซึ่งหลายท่านยังไม่ได้มองตัวเลขตัวนี้

เพราะฉะนั้นให้เวลาอีก 1-2 เดือนจากนี้ เราจะเห็นเม็ดเงินจากสหรัฐอเมริกาค่อยๆ แกว่งเข้ามาที่จีน รวมถึงอีเมอร์จิ้งมาร์เก็ต

ผลของสิ่งที่เกิดขึ้น ที่เราต้องมองคือ จากนี้ไปเราจะเห็นว่า ดอลลาร์ ยังไซด์เวย์อยู่ บาทแข็งบ้างอ่อนบ้างแบบยังหาทิศทางไม่ได้

ส่วนตัวผมคิดว่าประมาณสักหนึ่งเดือนนิดๆ เราจะเห็นชัดเจนขึ้นว่า ดอลลาร์จะเริ่มอ่อนลง และบาทจะเริ่มแข็งค่าขึ้น พร้อมๆ กับเงินในภูมิภาค ฉะนั้นก็หมายความว่าเป็นสัญญาณว่าเงินเริ่มไหลเข้ามาในภูมิภาค-ในไทย”

ปัจจัยบวกก่อน/หลังเลือกตั้ง

และ ฮันนีมูนพีเรียด

นายอิสระ กล่าวว่า สำหรับเมืองไทยที่เป็นปีเลือกตั้ง จึงต้องมานั่งดูว่า สถานการณ์ก่อนวันเลือกตั้งเป็นอย่างไร และหลังเลือกตั้งเป็นอย่างไร

ทั้งนี้จะเห็นว่าช่วงก่อนการเลือกตั้ง การส่งออกชะลอตัวลงมา แต่เดี๋ยวคงมีการฟื้นตัวขึ้นมา สิ่งที่เมืองไทยโดดเด่นกว่าคนอื่นเขา คือเรื่องของการใช้จ่ายภายในประเทศ จากตัวเลขของแบงก์ชาติก็ดี ของสภาพัฒน์ก็ดี ตัวเลขการบริโภคของไทยค่อนข้างจะแข็งแรง ซึ่งตรงนี้เป็นตัวหนึ่งที่เป็นเหมือนหัวใจของเศรษฐกิจที่ยังค่อนข้างเข้มแข็ง ฉะนั้น อันนี้จะเป็นจุดหนึ่งที่นักลงทุนต่างชาติจะเข้ามาลงทุน จะต้องมานั่งมองว่า จริงๆหัวใจของเศรษฐกิจมันแข็งแรงจริงมั้ย

พอตรงนี้แข็งแรง รวมกับภาระหนี้ต่างๆ ภาระหนี้การคลังที่น้อย ภาระต่างประเทศเราก็อยู่ในจุดที่บริหารจัดการได้ ทุนสำรองเราก็เยอะ หมายความว่าเรื่องของสถานะความมีวินัยทางการคลังก็ดี ศักยภาพเศรษฐกิจเราเข้มแข็งหมด

ฉะนั้นนี่เป็นตัวที่ว่าเราสอบผ่านแล้วที่ว่าเงินทุนต่างชาติจะไหลเข้ามาที่ไทยได้หรือไม่

จากนั้น หลังเลือกตั้งแล้วก็มามองว่าจะเกิดอะไรขึ้น

เนื่องจากไม่แน่ใจว่าใครจะเป็นผู้ตั้งรัฐบาล จะมีรัฐบาลผสมกี่พรรค...ก็ไม่เอามามองดีกว่า... สิ่งที่เรามอง คือ นโยบายของพรรคการเมืองว่าแต่ละพรรคที่ใหญ่ๆ ที่มีโอกาสจัดตั้งรัฐบาล นโยบายออกมารูปแบบไหน น่าจะชัดกว่า

สิ่งที่เห็นคล้ายๆ กันเลยว่า ทุกวันนี้นโยบายออกมาแนวประชานิยมค่อนข้างเยอะ มานั่งบวกลบคูณหารตัวเลข แต่ละพรรคทำท่าจะใช้เงินประมาณ 5-7 แสนล้านบาท อันนี้หมายถึงว่าไม่ใช่ปีเดียวนะ แต่หมายถึงว่านโยบายที่จะต่อเนื่อง 1-3 ปีจากนี้ 5-7 แสนล้านบาท...ค่อนข้างเยอะ... ฉะนั้นหมายความว่า ถ้าเรามานั่งแกะนโยบาย ไม่ว่าพรรคไหนจะเข้ามาเป็นรัฐบาล ในช่วงแรกเลยในการบริหารจัดการ เงินจะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจค่อนข้างเร็ว เข้าสู่นโยบายประชานิยมพวกนี้แหละค่อนข้างเร็ว

เมื่อเป็นแบบนี้ก็จะมี 2 ซีนารีโอ้ หรือ 2 สถานการณ์ที่จะเป็นไปได้ หลังเลือกตั้ง คือ หนึ่ง. การเมืองนิ่ง เดินเข้าสู่ประชานิยมในช็อตแรก ช็อตสองคือเรื่องการลงทุนต่อเนื่องจากรัฐบาลปัจจุบัน สอง.ถ้าการเมืองไม่นิ่งอย่างเช่นตั้งรัฐบาลแล้วเสียงไม่เด็ดขาด ก็แน่นอนจบคล้ายกัน ในตอนแรกคือว่าจะลงมาในเรื่องของนโยบายประชานิยมเหมือนกัน หลังจากนั้นค่อยว่ากันว่าสถานการณ์คืออะไร จะมีการทำนโยบายเรื่องของการลงทุนต่อหรือไม่ ซึ่งอันนี้ค่อนข้างไม่ค่อยชัดเจนแล้วในสถานการณ์นี้

แต่ว่าสิ่งที่ชัดเจนที่สุดก็คือ ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาล คงจะจัดเต็มเรื่องของการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ ฉะนั้นภาพคงจะเห็นชัดว่าคือ โมเมนตัม มันมาอยู่แล้ว นโยบายที่เสริมเติมเข้ามามันทำให้ความเข้มแข็งเรื่องของการใช้จ่ายมันชัดขึ้น ในช่วงแรก เราเรียกว่าเป็น ฮันนีมูนพีเรียด น่าจะราว 6 เดือน ทำให้โมเมนตัมเรื่องของ การบริโภคดีขึ้น แล้วก็เป็นช่วงที่เงินไหลเข้าในภูมิภาคนี้ด้วย ซึ่งไทยคงได้รับอานิสงส์ค่อนข้างชัดเจนจากเงินที่ไหลเข้ามา

ดังนั้น สรุปได้ว่า สถานการณ์โลกลดลงมาตรงจุดที่มันเริ่มจะ มีเสถียรภาพแล้วที่มีความโดดเด่น คือ กลุ่มประเทศในภูมิภาคพวกเรานี่แหละ คืออีเมอร์จิ้งมาร์เก็ต แต่อาการที่ต้องมองคือว่า ดอลลาร์ต้องอ่อน ส่วนเงินสกุลแถวเพื่อนบ้านเรารวมถึงเมืองไทยต้องแข็ง ซึ่งเป็นตัวสะท้อนว่าเงินไหลเข้า

หลังจากนั้น พ้นฮันนีมูนพีเรียด 5-6 เดือนไปแล้ว ค่อยมาดูผลจากการจัดตั้งรัฐบาล เช่น เรื่องของการบริหารนโยบายเศรษฐกิจต่างๆ ต่อเนื่องหรือไม่

ฟันด์โฟลว์ยังไหลเข้า

แต่ระมัดระวังมากขึ้น

สำหรับสถานการณ์การลงทุนของต่างชาติในตลาดหุ้นไทย หรือกระแสฟันด์โฟลว์ จะเห็นว่าในช่วงเดือนมกราคม นักลงทุนเข้ามาซื้อสุทธิ แต่เมื่อยิ่งใกล้วันเลือกตั้งมากขึ้น จะเห็นว่าต่างชาติมีสถานะขายสุทธิ และมากขึ้นๆ

นายอิสระ กล่าวให้ความเห็น ความเคลื่อนไหวของทุนต่างชาติเช่นนี้ว่า ...ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเป็นเรื่องของการดูแลพอร์ต และป้องกันความเสี่ยง ต่างชาติเมื่อเข้ามาลงทุนสักพักได้ผลตอบแทน หรือ รีเทิร์น 5-6% ก็จะมีความระมัดระวังมากๆไว้ก่อน ในสถานการณ์การเมืองที่ยังไม่จบ

“ความเป็นนักลงทุนต่างชาติ ถามว่าเขาจำเป็นต้องมานั่งรับความเสี่ยงหรือ เขาคอนโทรลได้มั้ย คาดการณ์ยากมั้ย ดังนั้นเขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมาเสี่ยง ก็จะหาจังหวะออกไปก่อนตามสถานการณ์

แต่ว่าถ้าดูเทรนด์จริงๆ แล้วเงินก็กลับเข้ามาในอีเมอร์จิ้งมาร์เก็ตอยู่แล้ว ซึ่งประเทศที่มีการเลือกตั้งนักลงทุนต่างชาติจะมีพฤติกรรมลักษณะเดียวกันหมด คือ ขอ เวทเอนด์ซี แล้วค่อยกลับเข้ามาใหม่

บล.กรุงศรี คงดัชนี 1,900

ตลาดทรงเดียวกับปี 2017

แม้ว่าหลายสำนักจะมีการปรับลดเป้าหมายดัชนีหุ้นลง แต่จากการประเมินสถานการณ์ดังที่กล่าวแล้ว นายอิสระย้ำว่า ในส่วนของ บล.กรุงศรี ไม่มีการปรับลด

“เราคงระดับเป้าหมาย ดัชนีปีนี้ไว้ที่ 1,900 จุด ซึ่งค่อนข้างสูงแต่ถามว่ามันเกิดขึ้นได้หรือไม่ ... ถ้าจำสถานการณ์ในต้นปี 2017 คงพอนึกได้ว่า เวลาที่ตลาดมีความเชื่อมั่น มันเปลี่ยนเงินไหลเข้ามาพร้อมกับความกระตือรือร้น ความอยากลงทุน หลังจากไม่เกิดขึ้นมานาน เพราะว่าการที่หุ้นจะขึ้นมาประมาณ 10% มันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับตลาดใดตลาดหนึ่ง คิดว่าเมืองไทยเองมีโอกาสที่จะเห็นดัชนีปรับขึ้นแรงๆ จากที่ตลาดมีเอิร์นนิ่ง มีพีอีประมาณนี้

สิ่งที่เกิดขึ้นคือว่า เวลาที่ความรู้สึกหรือการคาดหวังมันเปลี่ยน หุ้นจะขึ้นค่อนข้างเร็ว

ส่วนตัวผมมองค่อนข้างโพสิทีฟ

แนะใช้จังหวะนี้ทำการบ้าน

ไม่ใช่เวลาที่นักลงทุนจะยอมแพ้

เมื่อถามว่าในระยะสั้นนี้นักลงทุนควรทำตัวอย่างไร นายอิสระให้คำแนะนำว่า ช่วงนี้นักลงทุนอาจรอดูตลาดก่อนได้ แต่ไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่นิ่งเฉย สามารถศึกษาและหาจังหวะปรับพอร์ตและลงทุนได้

“ถ้าเราทำตัวเป็นนักลงทุนที่ไม่ผลีผลามจนเกินไป เราก็รอดูว่า สถาบัน/ ฝรั่ง เขาทำอย่างไรกัน และถามว่าจำเป็นต้องอยู่นิ่งๆ มั้ย ... ผมว่าไม่จำเป็น”

สิ่งที่ต้องดูในตอนนี้ก็คือว่า เราไปดูเรื่องนโยบายของรัฐเป็นอย่างไร และมาลองดูว่าหุ้นที่มันผ่านมาแล้วสัก 3 เดือนกำลังจะจบไตรมาสแรกหุ้นไหนที่มันค่อนข้างดี คือตลาดขึ้นมาแล้ว 5% มีหุ้นกลุ่มไหนที่ยังไม่ขึ้นเลย แล้วดูแล้วสถานการณ์อาจจะมีการปรับขึ้นได้ดี มันก็มีอยู่หลายกลุ่มเหมือนกัน

ฉะนั้นคิดว่าตอนนี้ทำการบ้านได้ ซึ่ง 5 วันก่อนเลือกตั้งใช้จังหวะ ทำการบ้าน อ่านบทวิเคราะห์จาก บล.กรุงศรี และจากของบริษัทอื่นๆ แล้วลองมาสร้างตัวเองดู

แล้วไดเร็กชั่นจริงๆ ถ้าเราไม่มองเรื่องการเลือกตั้ง ดูภาพทั้งโลก โกลบอลมาร์เก็ตมันบอกว่ามันจะไปตรงไหน กลยุทธ์เทคนิเคิลเทรดดิ้ง เป็นอย่างไร จากนั้นพอผ่านวันเลือกตั้งเสร็จแล้วค่อยเอาเรื่องของการพัฒนาการทางการเมือง การพัฒนาการเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล รวมถึงเรื่องการที่รัฐบาลใหม่จะมีนโยบาย อย่างไร เอามาประเมินรวมกัน เป็นเรื่องของกลยุทธ์ในการลงทุน

ดังนั้นตอนนี้ทำการบ้านกันได้

นายอิสระ ย้ำให้มั่นใจว่า ตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นโลกยังมีช่องทางเป็นบวกต่อไปได้อีก

“คิดว่ามันถึงจุดที่ยังมีโอกาสที่หุ้นจะขึ้นได้ แต่ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าขึ้นก็จริง แต่มีเรื่องวัฏจักรด้วย คือ ถ้ามองสหรัฐอเมริกา ฟื้นตัวตามไซเคิลโตมา 9 ปี ถ้าถามว่าค่าเฉลี่ยการขยายตัวเศรษฐกิจงวดนี้ถือว่าโตพิเศษแล้ว ฉะนั้นหมายความว่ามันถึงจะขึ้นงวดนี้ก็ต้องเริ่มระวังแล้วว่า ถามว่ามันจะจบไซเคิลจริงๆ เมื่อไหร่ วันนี้ส่วนตัวมองแบบคร่าวๆ มองจากเรื่องของวงจรดอกเบี้ยสมมุติ คิดว่าถ้าจะเร็วที่สุดน่าจะเป็นประมาณ 2020 ดังนั้นถ้ามันขึ้นมางวดนี้จริงๆ เป็นเรื่องเป็นราว เราก็ต้องหาจุดที่เริ่มทยอยออกประมาณปีหน้า ซึ่งจากวันนี้ไปก็หมายความว่ายังมีรูมให้ลงทุนอีกระยะยาวๆ ประมาณ 12 เดือน นับจากนี้ ยังสามารถลงทุนได้ แต่แน่นอนก็จะยากขึ้น นักลงทุนโดยเฉพาะพวกฝรั่งพร้อมขายตลอด และค่อนข้างเร็ว แล้วเขาจะเห็นภาพค่อนข้างกว้าง เพราะฉะนั้นตลาดหุ้นจากนี้จะเล่นยากขึ้น แต่ถามว่ายังมีโอกาสหาผลตอบแทนจากการลงทุนหรือไม่...ยังมีอยู่”

1 view
bottom of page