ปัจจัยเสี่ยงนอกประเทศจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค่า อันดับที่ 1 และ 2 ของสหรัฐฯ ที่เป็นผลจากปัจจัยการเมือง ยังคงไม่ได้มีข้อสรุปที่ชัดเจน ทั้งนี้ เศรษฐกิจของสหภาพยุโรป และจีน อันเป็นคู่ค้าอันดับที่ 1 และ 2 ของสหรัฐฯ มีการเติบโตของเศรษฐกิจที่ชะลอลงค่อนข้างมาก ท่ามกลางแรงกดดันที่เป็นผลจากปัจจัยด้านการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการเจรจา Brexit ที่ยังเผชิญกับความไม่แน่นอนอยู่ อันอาจจะเพิ่มปัจจัยเสี่ยงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในยูโรโซนที่ค่อนข้างเปราะบางอยู่แล้ว รวมทั้ง ผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่กดดันให้เศรษฐกิจจีนชะลอลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งปัจจัยดังกล่าวคงจะส่งผลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกในวงกว้างอันจะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะต่อไป ทั้งนี้ เฟดน่าจะรอความชัดเจนของพัฒนาการความเสี่ยงดังกล่าว ก่อนที่จะมีการประเมินถึงความเหมาะสมต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะต่อไป
พัฒนาการของเครื่องชี้เศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอลง คงเป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลให้เฟดมีความระมัดระวังในการประเมินพัฒนาการของเศรษฐกิจมากขึ้น โดยยอดค้าปลีก และการจ้างงานนอกภาคการเกษตร ของสหรัฐฯ ที่การเติบโตชะลอลงในช่วงนี้ คงเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เฟดคงติดตามพัฒนาการของเครื่องชี้เศรษฐกิจที่สำคัญดังกล่าวอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ แม้ว่าปัจจัยที่กดดันกิจกรรมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนหนึ่งจะเป็นผลจากปัจจัยทางธรรมชาติ รวมทั้ง ผลกระทบจากการปิดตัวลงของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ อันเป็นปัจจัยชั่วคราว แต่การที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีสัญญาณชะลอลงในช่วงที่ปัจจัยเสี่ยงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจอยู่ในระดับสูง คงเป็นปัจจัยที่น่าจะทำให้เฟดเลือกที่จะชะลอจังหวะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายออกไปอีกระยะ เพื่อรอความชัดเจนของพัฒนาการเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมทั้ง ประเมินผลกระทบจากการส่งผ่านการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่ผ่านมา
แรงกดดันด้านเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลง ลดแรงกดดันเฟดที่จะต้องเร่งจังหวะการขึ้นดอกเบี้ย โดยอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ยังคงเคลื่อนไหวใกล้เคียงกับกรอบเป้าหมาย ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อในระยะข้างหน้าคงจะมีจำกัดท่ามกลางปริมาณอุปทานในตลาดน้ำมันสหรัฐฯ ที่ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่การส่งผ่านเงินเฟ้อจากการปรับขึ้นรายได้ค่อนข้างจำกัด แม้ว่าพัฒนาการของตลาดแรงงานจะค่อนข้างตึงตัวก็ตาม ซึ่งปัจจัยดังกล่าวยังคงสนับสนุนให้เฟดสามารถที่จะคงอัตราดอกเบี้ยในระยะเวลาที่ยาวขึ้นได้ อย่างไรก็ดี เงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะ 5 ปีข้างหน้าที่เริ่มปรับลดลงอีกครั้งและทรงตัวที่ระดับประมาณ 1.8% อันต่ำกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อของเฟดที่ระดับ 2.0% คงเป็นปัจจัยที่เฟดน่าจะติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากสัญญาณดังกล่าวอาจจะสะท้อนถึงมุมมองของตลาดว่าอัตราดอกเบี้ยระยะยาวของสหรัฐฯ อาจจะผ่านพ้นระดับสูงสุดไปแล้ว
โดยสรุปแล้ว เฟดน่าจะยังคงมุมมองการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ใกล้เคียงกับคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจในเดือนมกราคม เนื่องจากพัฒนาการของการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงมีพื้นฐานการฟื้นตัวที่ดีอยู่ ขณะที่ปัจจัยกดดันการเติบโตเศรษฐกิจน่าจะเป็นเพียงปัจจัยชั่วคราว ขณะที่จุดสนใจของตลาดอยู่ที่การส่งสัญญาณถึงการปรับเปลี่ยนมุมมองคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (dot-plot) รวมทั้ง แนวทางในการปรับลดขนาดงบดุลในอนาคต ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่าเฟดอาจจะส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเหลือเพียง 1 ครั้งในปีนี้ เทียบกับประมาณการเดือนธันวาคม 2561 ที่เฟดส่งสัญญาณในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้ง แต่เฟดน่าจะยังคงมุมมองอัตราดอกเบี้ยระยะกลาง-ยาวที่ระดับ 2.5-3.0% เช่นเดิม ในส่วนของการปรับลดขนาดงบดุล เฟดน่าจะยังคงดำเนินการปรับลดขนาดงบดุลที่ระดับ 50 พันล้านดอลลาร์ฯ ต่อเดือนไปอีกระยะ เพื่อสร้างขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายทางการเงิน (policy space) ไว้เพื่อรองรับ วัฏจักรเศรษฐกิจที่อาจชะลอลงในระยะข้างหน้า ท่ามกลางเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังคงขยายตัวได้ดีกว่าระดับศักยภาพในระยะยาวในปีนี้
สำหรับผลต่อเศรษฐกิจไทย การส่งสัญญาณชะลอความเข้มงวดในการดำเนินนโยบายการเงินของเฟดจะไม่เป็นปัจจัยหนุนการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ฯ มากนัก เนื่องจากตลาดรับรู้ประเด็นดังกล่าวไปบางส่วนแล้ว มองไปข้างหน้า การเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์ฯ ยังมีทิศทางผันผวนจากปัจจัยการเมืองในประเทศสหรัฐฯ ตลอดจน เหตุการณ์สำคัญที่จะเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกันในช่วงปลายเดือนมีนาคมนี้ ทั้งการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน ตลอดจน ประเด็น Brexit ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินในภูมิภาค รวมทั้งเงินบาทมีความผันผวนตามไปด้วย
Credit: Kasikorn Research Center Co., Ltd. (KResearch)