ธ.ก.ส. เดินหน้าโครงการประกันภัยข้าวนาปีและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2562 เพื่อให้เกษตรกรได้รับความคุ้มครอง กรณีเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติและภัยจากศัตรูพืช โดยรัฐบาลสนับสนุน ค่าเบี้ยประกันภัยเพื่อจูงใจให้เกษตรกรเห็นประโยชน์ของการทำประกันภัย และ กรณีเป็นเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส.สมทบค่าเบี้ยประกันภัย พร้อมหนุนเกษตรกรทำประกันภัยส่วนเพิ่ม เพื่อขยายวงเงินคุ้มครองและ ลดความเสี่ยงในการผลิต โดยเปิดรับทำประกันภัยแล้วตั้งแต่ 15 มี.ค.นี้ ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ
นายนิพัฒน์ เกื้อสกุล รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผย ว่า ธ.ก.ส. ได้ดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี มาตั้งแต่ปี 2554 เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในการสร้างภูมิคุ้มกันและเป็นการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านการผลิต โดยใช้การประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบรรเทาความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น โดยการปลูกข้าวนาปีและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2562 ธ.ก.ส.พร้อมอำนวยความสะดวกให้เกษตรกรสามารถยื่นขอทำประกันภัยได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นสาขาที่ตั้งแปลงหรือสาขาที่ตนเองมีภูมิลำเนา โดยใช้เพียงบัตรประชาชนก็สามารถติดต่อทำประกันภัยได้ทันที
สำหรับเงื่อนไขโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2562 มีทั้งการประกันภัยขั้นพื้นฐาน อัตราค่าเบี้ยประกันภัย 85 บาท/ไร่ (ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) เท่ากันทุกพื้นที่ โดยรัฐบาลอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัย 51 บาท/ไร่ และเกษตรกรจ่ายสมบทเพียง 34 บาท/ไร่ กรณีเป็นลูกค้าที่กู้เงินจาก ธ.ก.ส.เพื่อปลูกข้าว ธ.ก.ส.จะจ่ายสมบทค่าเบี้ยประกันภัยแทนเกษตรกร วงเงินคุ้มครอง 1,260 บาท/ไร่ ในกรณีเกิดภัยธรรมชาติ 7 ภัย ได้แก่ ภัยน้ำท่วม/ฝนตกหนัก ภัยแล้ง/ฝนแล้ง/ฝนทิ้งช่วง ลมพายุ/พายุไต้ฝุ่น ภัยอากาศหนาว/น้ำค้างแข็ง ลูกเห็บ ไฟไหม้ และช้างป่า และวงเงินคุ้มครอง 630 บาท/ไร่ ในกรณีเกิดภัยศัตรูพืช/โรคระบาด นอกจากนี้รัฐบาลยังสนับสนุนให้เกษตรกรทำประกันภัยส่วนเพิ่ม เพื่อให้สามารถรับความคุ้มครองที่มากขึ้นและยังสอดคล้องกับสภาวะอากาศที่แปรปรวนอย่างมากในปัจจุบัน โดยแบ่งตามระดับความเสี่ยง กรณีพื้นที่เสี่ยงต่ำ 56 จังหวัด ชำระค่าเบี้ยประกันเพิ่ม 5 บาท/ไร่ (ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) พื้นที่เสี่ยงปานกลาง 17 จังหวัด ชำระค่าเบี้ยประกันเพิ่ม 15 บาท/ไร่ (ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) และพื้นที่เสี่ยงสูง 4 จังหวัด ชำระค่าเบี้ยประกันเพิ่ม 25 บาท/ไร่ (ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) ทั้งนี้ การทำประกันภัยส่วนเพิ่มดังกล่าว เกษตรกรจะได้รับวงเงินคุ้มครอง เมื่อเกิดภัยธรรมชาติเพิ่มอีกในวงเงิน 240 บาท/ไร่ และกรณีเกิดภัยศัตรูพืช/โรคระบาด ได้รับวงเงินคุ้มครองเพิ่ม 120 บาท/ไร่ ระยะเวลาขายกรมธรรม์ ตั้งแต่บัดนี้ จนถึง 30 มิถุนายน 2562 (ยกเว้นภาคใต้ ถึงวันที่ 15 ธันวาคม 2562)
โครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2562 ให้ความคุ้มครองในแบบการประกันภัย ขั้นพื้นฐาน อัตราค่าเบี้ยประกันภัย 59 บาทต่อ/ไร่ (ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) เท่ากันทุกพื้นที่ โดยรัฐบาลอุดหนุน 35.40 บาท/ไร่ และเกษตรกรจ่ายสมบทเพียง 23.60 บาท/ไร่ กรณีเป็นลูกค้าที่กู้เงินจาก ธ.ก.ส. เพื่อปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ธ.ก.ส.จะจ่ายสมบทค่าเบี้ยประกันภัยแทนเกษตรกร วงเงินคุ้มครอง 1,500 บาท/ไร่ ในกรณีเกิดภัยธรรมชาติ 7 ภัย ได้แก่ ภัยน้ำท่วม/ฝนตกหนัก ภัยแล้ง/ฝนแล้ง/ฝนทิ้งช่วง ลมพายุ/พายุไต้ฝุ่น ภัยอากาศหนาว/น้ำค้างแข็ง ลูกเห็บ ไฟไหม้ และช้างป่า และวงเงินคุ้มครอง 750 บาท/ไร่ ในกรณีเกิดภัยศัตรูพืช/โรคระบาด นอกจากนี้รัฐบาลยังสนับสนุนให้เกษตรกรทำประกันภัยส่วนเพิ่ม เพื่อให้สามารถรับความคุ้มครองที่มากขึ้น ซึ่งแบ่งตามระดับความเสี่ยง กรณีพื้นที่เสี่ยงต่ำ 24 จังหวัด ชำระค่าเบี้ยประกันเพิ่ม 3 บาท/ไร่ (ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) กรณีพื้นที่เสี่ยงปานกลาง 45 จังหวัด ชำระค่าเบี้ยประกันเพิ่ม 10 บาท/ไร่ (ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) และพื้นที่เสี่ยงสูง 8 จังหวัด ชำระค่าเบี้ยประกันเพิ่ม 23 บาท/ไร่ (ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) ทั้งนี้ การทำประกันภัยส่วนเพิ่มดังกล่าว เกษตรกรจะได้รับวงเงินคุ้มครองเมื่อเกิดภัยธรรมชาติเพิ่มอีกในวงเงิน 240 บาท/ไร่ และกรณีเกิดภัยศัตรูพืช/โรคระบาด ได้รับวงเงินคุ้มครองเพิ่ม 120 บาท/ไร่ ระยะเวลาขายกรมธรรม์ รอบ 1 ตั้งแต่บัดนี้ ถึง 31 พฤษภาคม 2562 และรอบ 2 ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2562 – 15 มกราคม 2563
นายนิพัฒน์ กล่าวต่อไปว่า เกษตรกรที่เป็นผู้เอาประกันภัยต้องขึ้นทะเบียนและปรับปรุงทะเบียน ผู้ปลูกข้าวนาปีและปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2562/63 กับกรมส่งเสริมการเกษตร ก่อนการขอรับประกันภัย ทั้งนี้ ธ.ก.ส. มีความพร้อมในการให้บริการ โดยมีสาขารองรับการทำประกันภัยกว่า 1,273 สาขา ทั่วประเทศ กรณีต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ทาง Call Center 02 555 0555