ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยการลงทุน สายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ ประเมินหุ้นก่อนเลือกตั้งมีแรลลี่ … ตีกรอบ 1,600-1,630 คือจุดซื้อ แต่หากเลยกรอบนี้ “อย่าแหยม”!!!!
- ผ่านเดือนกุมภาพันธ์มา 2 สัปดาห์ โลกทางซีกตะวันตกหุ้นขึ้นเอาๆ ขณะที่โลกทางซีกตะวันออก หุ้นลงเอาๆ ดร.ปิยศักดิ์ มองภาพอย่างไร
ภาพเป็นอย่างนี้ ถ้าจะให้สรุปคำเดียวสั้นๆ ก็คือ กระแสการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเริ่มแผ่วลง ..คือยังมีอยู่แต่แผ่วลง ...ซึ่งภาพใหญ่ภาพหลักช่วงที่ผ่านมาถือว่าดีขึ้น ในประเด็นปัจจัยเรื่องของการเจรจาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา ถึงจะไม่ลงตัว แต่ดูดีขึ้น ..รวมถึงเรื่องชัตดาวน์ของสหรัฐอเมริกาก็ผ่านมาแล้ว และถึงแม้ว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ จะออกมาประกาศในเรื่องฉุกเฉินเพื่อที่จะหาเงินมาทำกำแพง จนถูกกระแสต่อต้าน
ในขณะที่ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ออกมา คือตัวเลขรีเทลของสหรัฐอเมริกาออกมาผิดพลาด ค่อนข้างแย่ แต่ตัวเลขส่งออกของจีนออกมาค่อนข้างแข็งแกร่ง ส่วนเศรษฐกิจยุโรปออกมาค่อนข้างแย่หน่อย โดยเฉพาะเยอรมัน แต่สรุปโดยภาพรวมเศรษฐกิจโลกก็ยังเรียกว่ายังไปได้ แม้ว่าไปได้ด้วยความเสี่ยงที่มากขึ้น แต่ว่ากระแสเรื่องการลงทุนต่างๆ หลักๆ เกิดจากการที่เฟดเปลี่ยนท่าทียูเทิร์น 180 องศาเลย มีการผ่อนปรนเรื่องนโยบายทางการเงินมากขึ้น โอกาสที่เฟดจะอดทนรอไม่ขึ้นดอกเบี้ยก็มากขึ้น และกรณีที่จะมีการลดทอนเรื่องสภาพคล่อง QE ก็กลับมีแนวโน้มว่าอาจจะมีการชะลอลง ยังไม่ดูดสภาพคล่องกลับเร็วๆ ทันที... ตรงนี้ก็จะเป็นผลบวกต่อตลาดหุ้นโลก
ส่วนทางด้านโลกตะวันออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งของไทยเราก็ทราบกันดี ก็คือมีปัจจัยทางการเมือง โดยเฉพาปรากฏการณ์ 8 กุมภาพันธ์ ก็ลากยาวต่อเนื่องมา เรื่องของการที่จะยุบพรรคไทยรักษาชาติหรือไม่ ก็คงเป็นเรื่องของกกต.ที่ต้องติดตามกันต่อเนื่อง แล้วที่ไปสู่ศาลรัฐธรรมนูญ ก็เป็นปัจจัยที่ฉุดรั้งอยู่ระดับหนึ่ง
ฉะนั้น ถ้าดูในเรื่องของฟันด์โฟลว์ หรือ เงินทุนที่ไหลเข้าในเอเชียก็ยังพอมีอยู่บ้าง แต่เงินที่ไหลเข้าไทยในช่วงล่าสุดนี้ติดลบ
- นับจากวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ต่างชาติขายสุทธิ ทั้งๆ ที่เดือนมกราคม ต่างชาติหันมาซื้อสุทธิ นั่นคือเขาไม่มั่นใจการเมืองไทยมากๆ
ภาพก็คือ แน่นอนความเสี่ยงเรื่องการเมืองยังมีอยู่
ปัจจัยระยะยาวความเสี่ยงอย่างที่เราทราบๆ กัน ว่าความขัดแย้งก็ยังไม่ได้คลี่คลายอย่างชัดเจน แต่อย่างไรก็ตามถ้ามองในเรื่องของเศรษฐกิจไทย ในเรื่องของเสถียรภาพไม่ได้แย่นะ การเตรียมดุลบัญชีเดินสะพัดยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงเศรษฐกิจที่ตอนนี้ ถึงแม้ว่าจะเริ่มเป็นคือเริ่มชะลอลงแล้ว แต่ว่าก็ยังพอไปได้ อย่างตัวเลขจีดีพีที่จะประกาศ หลายฝ่ายก็มองว่าน่าจะโตสัก 4% ซึ่งภาพโดยรวมของเศรษฐกิจไทยก็พอไปได้
ขณะที่ทิศทางของค่าเงินบาทก็ยังแข็งค่าอยู่ เป็นขาที่แข็งเลย ถึงแม้ว่าจะไม่ดีต่อความสามารถในการแข่งขันของเราในระยะยาว แต่ในระยะสั้นถ้ามองในแง่นักลงทุน โดยเฉพาะในตลาดหุ้นก็จะเป็นบวก ก็เป็นไปได้ว่ากระแสน่าจะเริ่มลดลง และจะมีเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดไทยโดยเฉพาะระยะสั้นก่อนการเลือกตั้งยังพอเป็นไปได้อยู่บ้าง
อย่างไรก็ตาม เราก็เชื่อว่าสำหรับช่วงนี้เรื่องของมูลค่าของหุ้นการลงทุนมันค่อนข้างสูงแล้วในระดับหนึ่ง ก็เป็นไปได้เหมือนกัน ไม่ว่าปัจจัยใดก็ตามที่กดดันทำให้หุ้นลง ก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะลงไประดับ 1,630 จุด
0..ตัวเลขดัชนีค้าปลีกของสหรัฐอเมริกาในเดือนธันวาคม ออกมาไม่ดี ทำให้ทางเอเชียกลัวกันใหญ่ ว่าสหรัฐอเมริกาท่าจะแย่ หุ้นก็เลยตกกันมา แล้วทำไมกลับกลายเป็นว่าหุ้นทางยุโรปกลับเป็นดี มองสัญญาณนี้อย่างไร
ถ้าภาพใหญ่มันสวนทางกันชัดเจนว่าเศรษฐกิจมันมีความเสี่ยง เริ่มชะลอลงบ้าง แต่ว่าเรื่องของนโยบายการเงินของเฟดเองสนับสนุนอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้ามองเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาเองถึงแม้จะชะลอลง อย่างเซอร์ไพรส์ในเรื่องดัชนีค้าปลีก แต่ว่าตลาดแรงงานก็ยังแข็งแกร่งมาก ยังจ้างงานในระดับสูงมาก การว่างงานอยู่ในระดับต่ำมาก และเรื่องของค่าจ้างที่ยังเติบโตค่อนข้างดี ที่ทรัมป์เขาไปแถลงในรัฐสภาก็เป็นความจริงในระดับหนึ่งเหมือนกัน
ฉะนั้นสหรัฐอเมริกา จริงๆ คงยังไม่แย่มากนักในช่วงนี้ แต่ในภาคของโลกถ้ามองในเชิงเศรษฐกิจ ความเสี่ยงก็มีพอสมควรเหมือนกัน โดยเฉพาะในยุโรป ที่ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจเริ่มชะลอลง ปัจจัยเรื่องการเมืองแต่ละประเทศเริ่มเป็นปัจจัยฉุดรั้ง ไม่ว่าจะเป็นสเปน เยอรมัน ฝรั่งเศส ก็มีกระแสเรื่องต่างๆ ทางการเมือง โดยยุโรปยังเป็นความเสี่ยง
ขณะเดียวกัน ในฝั่งของจีน เริ่มเห็นว่า มันอาจจะไม่ได้แย่มากนัก ต้องจับตาดูนโยบายต่างๆ การเมือง ที่ทางภาครัฐของจีนอัดฉีดมาในช่วงที่ผ่านมาว่าจะสามารถกระตุ้นได้เท่าไหร่... ถ้าจีนไม่ได้แย่มากอย่างที่เรากังวลกันในช่วงต้นปี ก็เป็นไปได้ว่าโลกอาจจะไม่ได้แย่มากนัก ...ตรงนี้จะเป็นตัวบวกในเรื่องของเศรษฐกิจ แล้วก็ส่งผลในระยะต่อไป
ดังนั้นตอนนี้ที่ต้องจับตาดูหลักๆ ก็คือเรื่องของจีน
- กลับมาที่หุ้นไทย ยืน 1,650 ไม่ได้ และทำท่าลงที่ 1,630 จุด ถ้าหลุดแนวนี้ มันจะลงได้แรงขนาดไหน
มองว่าลงไปได้ก็คงไม่แรงมาก เพราะมีปัจจัยบวกที่จะหนุนหลังยังมีอยู่ กรณีเฟดช่วยเรื่องของการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงในระดับหนึ่ง ตรงนี้คือประเด็นที่หนึ่ง ส่วนประเด็นที่สองก็คือภาพโดยรวมของไทย ถึงแม้ปัจจัยเศรษฐกิจจะเริ่มชะลอลงแล้ว ซึ่งจริงๆ ตอนนี้ยังไม่ได้แย่มากนัก นักลงทุนต่างชาติก็ยังมองว่าสามารถที่จะเข้ามาซื้อได้ในระดับหนึ่ง
ฉะนั้นตลาดหุ้นไทย ถ้ามันลงมาแตะ 1,600 จุดก็มีสิทธิ์ แต่ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะค่อยๆ กลับขึ้นไปได้ เราเชื่อว่า Q2 กับ Q3 อาจจะวิ่งขึ้นไปถึง 1,700-1,800 จุดได้ เป็นไปได้เพราะว่าปัจจัยต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น จะชัดเจนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสงครามการค้า เบร็กซิท นโยบายการเงินของธนาคารกลางต่างๆ ก็จะเริ่มชัดเจนมากขึ้น ซึ่งเราคิดว่าภาพใหญ่ จะไม่แย่มากนัก
เมื่อเป็นอย่างนั้น ในช่วง Q2/2562 ที่รอเราอยู่คือจะมีพิธีมงคลอย่างยิ่งสำหรับไทย คือ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก รวมไปถึงเรื่องการเลือกตั้งที่ชัดเจนขึ้น มันก็เป็นปัจจัยที่จะสนับสนุนได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ต้องระวังเหมือนกันกับปัจจัยเสี่ยงที่ยังมี
ฉะนั้นการลงทุนอะไรก็ต้องระมัดระวัง ก็เป็นช่วงที่ซื้อได้ในระยะสั้น
- สรุปคือ คนที่มีหุ้นอยู่ ณ ตอนนี้ ให้ถือต่อไปได้ หรือว่าจะต้องขายไปก่อน
ถ้าเป็นไปได้คือยังสามารถถือต่อไปได้ เชื่อว่าในระยะสั้นยังปรับขึ้นมาได้บ้าง เพราะปัจจัยเรื่องการเมืองค่อนข้างนิ่งลงมาในระดับหนึ่งแล้ว แต่อย่างไรก็ตามเรื่องการเมืองไทยพอผ่าน Q2 ไปถึง Q3 และ Q4 อาจจะเริ่มมีสัญญาณชัดเจนขึ้น หลังทราบผลการเลือกตั้งแล้ว นอกจากนั้นจะเป็นปัจจัยฉุดรั้ง ถ้าเศรษฐกิจเราเริ่มฟื้นคืนมาคือเศรษฐกิจโลก Q3 และ Q4 การกลับมาของนโยบายการเงินก็อาจจะเริ่มกลับมามากขึ้น ตรงนั้นจะเป็นปัจจัยฉุดรั้งการลงทุนของโลกต่อไป เพราะฉะนั้นในช่วงสั้นอาจจะยังซื้อได้ แต่ต่อไปอาจจะต้องจับตามากขึ้น
- เคยสำรวจหรือไม่ว่า ช่วงก่อนเลือกตั้งกับหลังเลือกตั้ง เมื่อเปรียบเทียบกับทุกครั้งที่ผ่านมา หุ้นจะไปทางไหน
ที่เราดูกันช่วงก่อนการเลือกตั้ง โอกาสที่หุ้นจะแรลลี่ 50-60% มีความเป็นไปได้ ของเรามันก็พูดยาก เพราะพอชัดเจนว่าจะมีการเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคม มันก็แรลลี่ขึ้นมาแล้วในระดับหนึ่ง แต่พอเจอความเสี่ยงจากปรากฏการณ์ 8 กุมภาพันธ์ หุ้นมันก็พลิกลงมาในระดับหนึ่งเหมือนกัน
มาถึงตอนนี้มันอยู่ระหว่างความกังวลของทั้งทางต่างประเทศและในประเทศกับเรื่องของทิศทางที่จะไปได้ แต่อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่าหุ้นยังแรลลี่ขึ้นได้ก่อนเลือกตั้ง และการที่หุ้นลงมาในระดับ 1,600-1,630 จุด เป็นช่วงจังหวะที่นักลงทุนสามารถเข้าไปซื้อได้ และหลังจากนั้นอาจจะยังไม่ควรเข้าไปซื้อ
- ไม่บ่อยครั้งที่ ทองคำ น้ำมัน และหุ้นขึ้นมาพร้อมๆ กัน...
จริงๆ มันเป็นปัจจัยที่แตกต่างกัน แต่ว่ามันสอดคล้องกันในระดับหนึ่ง อย่างน้ำมันขึ้นราคา เรื่องนี้เป็นการที่มีความเป็นไปได้ว่าทางซาอุดิอาระเบียลดกำลังการผลิตลงมากขึ้น แต่ว่าจริงๆ ก็ต้องตามดู ดีมานด์ ของโลกในช่วงนี้มันยังไม่ค่อยเท่าไหร่นัก ถ้ามุมมองหลักของเรามันเป็นอย่างนั้น ฉะนั้นราคาน้ำมันจะแรลลี่ขึ้นไป 60 กว่าดอลลาร์ก็อาจจะมีลิมิตนิดหนึ่ง แต่ถามว่ามันจะขึ้นไปถึง 65 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลหรือไม่ ก็ต้องขึ้นกับปัจจัยหลายอย่างด้วย
ส่วนทองคำ ที่ปรับขึ้นในช่วงนี้ หลักๆ อย่างหนึ่งเป็นเพราะว่าคนไม่แน่ใจความเสี่ยงที่มีค่อนข้างเยอะเต็มไปหมดในระยะต่อไป ฉะนั้นพอคนไม่แน่ใจ และหลายที่หันมาซื้อทอง ธนาคารกลางหลายแห่งเริ่มกลับมาเก็บทองมากขึ้น เพราะกลัวค่าเงินของสหรัฐอเมริกาว่าจะไม่แน่นอนหรือไม่ ทำให้ดีมานด์ในทองเพิ่มขึ้น ... ตามหลักตรงนี้น้ำมัน ทองที่ขึ้น มันคือเงินเฟ้อมันกำลังจะมา .... แต่เรามองเห็นตอนนี้โครงสร้างยังไงเงินเฟ้อคงยังไม่มา
อย่างไรก็ตาม ช่วงสั้นนี้เรื่องของน้ำมันมา ทองมา คอมมูนิตี้โดยรวมก็อาจจะกลับมาดีขึ้นบ้าง แต่ก็อาจจะไม่ดีนัก ก็เป็นปัจจัยที่ต้องจับตาดูกันต่อไป