Interview: คุณชยนนท์ รักกาญจนันท์ Mr.Messenger ผู้จัดตั้ง FINNOMENA
Mr.Messenger ฟันธงการลงทุนปี 2019 มีโอกาสเปิดกว้างมากขึ้น หลังหุ้นปรับฐานปลายปี 2018 แต่ทำกำไรได้มากน้อยแค่ไหนอยู่ที่จับปลาถูกตัวหรือเปล่า คาดหุ้นไทยครึ่งปีแรกยังรั้งต่อจนถึงเดือนเม.ย.-พ.ค. เป้า 1,750-1,800 เจอความผันแปรการเมืองไทย/รัฐบาลใหม่ถูกใจ ไม่ถูกใจประชาชน กับดูต่างชาติคิดอย่างไร
- ตรุษจีนปีนี้เซ็งลี้ฮ้อหรือไม่ฮ้อ...ตลาดหุ้นดี ไม่ดี
มองดูสถิติย้อนหลังกลับไปดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่
คือ 10 ปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทย เดือนกุมภาพันธ์จะเป็นเดือนที่แย่ที่สุดเกือบจะทุกๆ เดือนในแง่ของตลาดหุ้น มันเป็นทางเดียวกันกับตลาดหุ้นสหรัฐและตลาดหุ้นเอเชียของภาพรวมเท่าที่ทีมงานไปสำรวจมา คือเฉลี่ย 10 ปีที่ผ่านมาเดือนกุมภาพันธ์ตลาดติดลบ 7 ปี เฉลี่ยลบอยู่ประมาณ 2-3% ลบไม่เยอะแต่เป็นเดือนที่มีสถิติ เราน่าจะเจออะไรบางอย่างบ้าง เป็นช่วงวัดใจจริงๆ ถ้ามาเทียบกับปัจจุบันก็มีความเป็นไปได้
มองในมุมผมที่มีความเป็นไปได้ คือตลาดหุ้นทั่วโลกในเดือนมกราคมที่ผ่านมาเป็นเดือนที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดในรอบ 18-19 เดือน โดยตลาดหุ้นอเมริกายังบวกได้ 8-9% ตลาดหุ้นในบางภูมิภาค emerging markets บวกได้ถึง 18-19% สาเหตุที่บวกขึ้นมาได้ คือ มี fund flow ไหลจากค่าเงินดอลลาร์กลับเข้ามาใน emerging market ซึ่งอย่างที่เห็นค่าเงินบาทแข็งด้วย
คราวนี้ต้องย้อนกลับว่าเดือนมกราคมที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น เกิดการเปลี่ยนแปลง 2 อย่าง อย่างแรกตัวเฟดเปลี่ยนแปลงทิศทางนโยบาย ซึ่งตลาดคาดไว้ตั้งแต่ตอนประชุมเดือนธันวาคมและจะมาย้ำชัดตอนประชุมเสร็จเดือนมกราคมก็เป็นไปตามที่ตลาดคาด แถมดีกว่าที่ตลาดคาดว่าเฟดมีการถอดมุมมองหลายๆ มุมมองจากรายงานการประชุมออกไป เช่น strong economy เหลือเพียงแค่ sonic economy แปลว่าก่อนหน้านี้เป็นเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง แต่ตอนนี้บอกว่าเศรษฐกิจมั่นคง ตลาดตีความว่าเฟดน่าจะขึ้นดอกเบี้ยช้าลงและเพิ่มว่าการดำเนินทิศทางของเฟดในอนาคตจะเพิ่มหรือลดดอกเบี้ยมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ตลาดตีความว่าจะขึ้นดอกเบี้ยได้ยากมีโอกาสลดดอกเบี้ย พอมองในมุมนี้แปลว่าดอลลาร์จะอ่อนจึงเป็นที่มาว่าทำไมค่าเงินบาทไทยถึงแข็ง เพราะเงินมันเริ่มดีดออกมาจากดอลลาร์ อีกตัวที่เห็นได้ชัด คือ ราคาทองก็กลับมาด้วยอยู่ที่ 1,320 ตอนนี้ แสดงให้เห็นว่านักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มมีมุมมองว่าดอลล่าร์น่าจะอยู่ในเทรนด์อ่อนค่าก็เข้าไปลงทุนในเงินสกุลอื่นและทองคำ
ประเด็นที่ 2 ตลาดเริ่มเชื่อว่าเศรษฐกิจโลกมีโอกาสเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว คือ economic slowdown คำว่า slowdown คือ เศรษฐกิจเติบโตในอัตราที่ลดลง ตรงนี้ทำให้เงินมันเริ่มหา variation ถูก ต้องทำความเข้าใจก่อนซึ่งก่อนหน้านี้เศรษฐกิจโต เงินมันหาที่ไหนโตดีที่ดีกว่าค่าเฉลี่ย คราวนี้ 2-3 ปีที่ผ่านมา โดนัลด์ ทรัมป์ อยู่กับอเมริกามา คือ โลกไม่ดีอยู่แล้ว แต่ทรัมป์ก็ทำสงครามการค้ากับทุกคน ตัวอเมริกาดีขึ้นทุกวันเพราะสิ่งที่ทรัมป์ทำมันเอื้อต่อเศรษฐกิจอเมริกา แต่ปีนี้คนมองว่าเศรษฐกิจอเมริกาเริ่มโตช้า เพราะฉะนั้นเงินจะไม่เริ่มหาที่ variation ที่ growth ดี แต่ไปหาว่าที่ตอนนี้อะไรมีมูลค่าถูก ที่ตอนนี้อะไรไม่ได้วิ่งมาก่อนหน้านี้ กลายเป็นว่าพวก emerging market ได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติ
- คิดว่ามีปัจจัยอะไรที่ดูไม่ดี ทั้งที่ดูว่าดีตลอดเดือนมกราคม
สุดท้ายเจ้ามือที่แท้จริงของตลาดหุ้นคือกำไรสุทธิ ส่วนใหญ่เดือนกุมภาพันธ์เข้าเดือนมีนาคม ในไตรมาส 1 เป็นไตรมาสที่ประกาศผลประกอบการของปีที่แล้ว คราวนี้ผมมีผลสำรวจตัวหนึ่งที่น่าสนใจบอกว่านักวิเคราะห์ในตลาดหุ้นทั้งโลกที่มีกว่า 1,000 ชีวิต ส่วนใหญ่จะมีมุมมองเชิงบวกตอนต้นปี หมายถึง เวลาสมมุติจะทำ paper outlook ทั้งปีว่าปีหน้าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรมักจะมองดีไว้ก่อน
อย่างปี 2019 คนมองว่าตลาดหุ้นน่าจะฟื้นเพราะปี 2018 แย่ แต่พอผลประกอบการออกมาส่วนใหญ่ไม่ดีเท่ากับเป้าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ พอไม่ดีเท่าที่คาดสิ่งที่ตามมา คือ earnings revision มีการปรับลดประมาณการกำไรสุทธิ ตัวนี้คิดว่าเราจะเริ่มเห็นการปรับลดประมาณการของกำไรสุทธิปี 2019 ตั้งแต่ต้นปี จะถึงขั้นไปลดกำไรหดตัวเมื่อเทียบกับปีที่แล้วหรือไม่ภาพนั้นคงยังไม่เห็น แต่สิ่งที่เราจะเห็นแน่ เช่น หุ้นแอปเปิ้ลที่สาเหตุลดลงมา Tim Cook ไปบอกบริหารความคาดหวังนักลงทุนตั้งแต่ตอนต้นปีว่าไตรมาส 4 กำไรจะไม่ดี ซึ่งออกมาไม่ดีจริง แต่ facebook จำนวนคนใช้หรือต้นทุนของ iPhone xs ยังสูงอยู่ ตลาดยังมองว่ากำไรยังไม่แย่แต่ยอดขายเริ่มลดลง
สิ่งนี้จะเกิดในหลายบริษัท เช่น Amazon ล่าสุดน่าจะหลุดออกจากกลุ่ม FAANG อย่าง Facebook Apple Amazon Netflix Google อย่างตอนนี้ Amazon เป็นตัวเดียวที่ขารีบาวน์ตอนเดือนมกราคมเริ่มขึ้นมาไม่ได้เพราะ e-commerce ในอเมริกาเริ่มโตแล้วมีปัญหา คือ เริ่มชะลอการเติบโตทำให้ Amazon ต้องหารายได้จากแหล่งอื่นที่ไม่ใช่จากการขาย e-commerce อย่างเดียว ตัว facebook ผู้ใช้งานในยุโรปไม่เพิ่มขึ้น แต่กำไรที่เพิ่มมาจากการทำให้พวกเราทุกคนเปิด facebook ขึ้นแล้วเห็นโฆษณาเยอะเพื่อให้แบรนด์ต่างๆ จ่ายค่าโฆษณา จะเห็นได้ว่าผู้ใช้งานโตยากแปลว่าเจ้าของธุรกิจต้องหาวิธีการสร้างรายได้ให้โตขึ้นด้วยการขายพวกผลิตภัณฑ์อื่นๆ หรือไม่ใช่ไลน์ผลิตภัณฑ์หลักของตัวเอง จะเห็นได้ว่าเริ่มแข่งขันกันมากขึ้น
ปีนี้คิดว่าเป็นปีที่ท้าทายระดับหนึ่ง
- ปีที่แล้วบอกว่าเล่นหุ้นยากแล้ว ปีนี้จะยากกว่าปีที่แล้วใช่ไหม
คิดว่าปีนี้โอกาสเปิดกว้างมากขึ้นตรงที่เราเห็นการปรับตัวในไตรมาส 4 ที่ผ่านมาของตลาดหุ้นทั้งโลก ทำให้ variation ของตลาดหุ้นในหลายตลาดถูกลงมา อย่างอเมริกาเคย PE เทรด 22 เท่า ตอนนี้ต่ำกว่า 20 เท่า หุ้นไทยที่เคยเทรดตอนปีที่แล้วแถว 1,700-1,800 เทรด PE ประมาณ 17-18 เท่า ตอนนี้เหลือประมาณ 14-15 เท่า คือ ใกล้ค่าเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลังที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นถ้ามองเรื่องความถูกจะถูกลงแล้ว เราหาหุ้นถูกได้ เริ่มเจอบ้างเหมือนกัน แต่มองว่าตลาดไหน return ดีตรงนี้จะเริ่มยากแล้ว เพราะผลตอบแทนของหุ้นดีในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา คือ อัตราการเติบโตของกำไรสุทธิมันเริ่มโตไม่ทั้งตลาด โตแค่บางตัวเท่านั้น
จึงเป็นปีที่การคัดเลือกหุ้นที่มีคุณภาพหรือคัดเลือกหุ้นถูกจะหาได้ ต้องบอกว่าปีนี้เป็นปีที่ต้องประคองพอร์ต
- เมืองไทยจะเป็นอย่างไร เดือนมกราคาต่างชาติเริ่มกลับมาซื้อสุทธิ เป็นสัญญาณดีขึ้นหรือหลอกๆ กัน
มุมหนึ่งถือว่าผิดคาดนิดหน่อยเพราะว่าเมื่อดูแล้วค่าเงินของ emerging market มันแข็งค่าโดยภาพรวม แต่ไทยจะแข็งค่ากว่าเขานิดหน่อยเพราะเราเกินดุลบัญชีเงินสะพัด เกินดุลเงินสำรองระหว่างประเทศในระดับสูง เงินเฟ้อเราต่ำ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงเราเป็นบวก มันมีเหตุผลสนับสนุนให้ต่างชาติเอาเงินเข้ามาบ้านเราเยอะ
แต่ที่จริงแล้วปีที่แล้วต่างชาติซื้อตราสารหนี้ในบ้านเรากว่า 300,000 ล้าน ออกจากหุ้นกว่า 200,000 ล้าน เดือนมกราคมเข้ามาไม่ถึง 10,000 ล้าน ขณะที่ออกจากตราสารหนี้ด้วยแต่ออกในจำนวนเล็กน้อย แสดงว่า flow ที่ไหลเข้ามาไม่ได้ไหลเข้ามาลงทุนแบบเชื่อมั่นขนาดนั้นแต่เหมือนโยนเข้ามาก่อน
ในมุมหนึ่งคิดว่าเป็นปัจจัยหลายมุม ตอนเดือนพฤษภาคมตลาดหุ้นไทยจะดีดที่เราคำนวณใน MSCI emerging market เราจะถูกเพิ่มสัดส่วนจาก 2.5% เป็น 3% แปลว่านักลงทุนต่างชาติที่ถือหุ้นไทยตรง 2.5% ถ้า MSCI เขาเพิ่มการคำนวณเป็น 3% คือ ต้องซื้อหุ้นไทยโดยไม่ต้องบอกว่าหุ้นไทยมีมุมมองดีหรือไม่ดี ต้องซื้อให้คงสัดส่วนตามน้ำหนัก เงินพวกนี้จะไหลเข้าหุ้นไทยเป็นปกติ
อีกมุมหนึ่งเป็นมุมของผมที่วิเคราะห์ไว้เมื่อกลางเดือนธันวาคมว่าเมื่อประกาศวันเลือกตั้งเมื่อไหร่เราน่าจะเห็นการปรับตัววิ่งขึ้นของตลาดหุ้น เราก็เห็นแบบนั้นจริงๆ คือ สถิติย้อนหลังวันเลือกตั้ง 6 ครั้งที่ผ่านมา 3 เดือนแรกของเดือนก่อนการเลือกตั้งจะมีการวิ่งอยู่แล้วเป็นปกติ และ 3 เดือนหลังจากการเลือกตั้งเหมือนคนไทยจะให้โอกาสรัฐบาล ตลาดหุ้นจะลงยากหน่อยหลังจากมีการเลือกตั้งแต่หลังจากนั้นไปตลาดจะเริ่มดูแล้วว่านโยบายจะชอบหรือไม่ เศรษฐกิจมีแนวโน้มดีหรือไม่ต้องดูหลังจากนั้นอีกที
ผมมองว่าในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2019 ตลาดหุ้นไทยน่าจะยังวิ่งต่อ จนกระทั่งถึงเดือนเมษายน-พฤษภาคมเราตั้งเป้าอยู่ที่ประมาณ 1,750-1,800 ถึงตอนนั้นก็คงกลับไปที่เรื่องประเด็นทางการเมืองหน้าตารัฐบาลออกมาประชาชนจะชอบหรือไม่ นโยบายออกมาสานต่อหรือไม่ ต่างชาติคิดอย่างไรคงต้องมาจับตาดูกันอีกที ผมคงบอกเป็นเป้ายาวๆ ตอนนี้ บอกไปคงเป็นจินตนาการล้วนๆ
- จากนี้ไปคงจะหาต้นทุนที่ถูกกว่านี้ไม่ได้แล้วสำหรับนักลงทุน ควรจะซื้อเลยใช่ไหม
ผมคิดว่าในช่วงไตรมาส 1 อาจจะมีย่อบ้าง แต่การขึ้นมาเหนือ 1,600 จุดอีกรอบ แถมปิดสิ้นเดือนมกราคมได้เหนือ 1,650 จุด คือ มันเป็นแนวต้านที่มีนัยสำคัญ แปลว่าแรงซื้อ ซื้อจริงๆ ดูแรงซื้อที่ดันขึ้นมาหลังจากหุ้นแตะ 1,600 ไม่ใช่ที่ต่างชาติแล้ว เป็นที่กองอื่นๆ ของนักลงทุนในประเทศที่มาดัน แสดงว่ามีความอยากที่จะพยุงตลาดในระดับหนึ่ง ในมุมหนึ่งผมคิดว่าลงยากหน่อยแต่ยังขึ้นอยู่กับผลประกอบการทั้งโลกและไม่ลืมว่าตลาดหุ้นอเมริกาดีดขึ้นมาจากจุดต่ำสุด ถ้าดูเป็นดัชนี เรียกว่า v shape ในอดีตที่ผ่านมาไม่เคยเห็น v shape แล้ววิ่งยาวๆ ทางเดียว ยังไงก็ต้องมีปรับฐานบ้าง มุมหนึ่งถ้าใครมีหุ้นอยู่แล้วถือต่อ ใครยังไม่มีหุ้น ให้อดทนรอนิดหน่อยถ้ามีย่อลงมาแล้วค่อยสะสมไปแต่คงย่อไม่ลึกมาก คิดว่าแนวรับอยู่ประมาณ 1,600 ไม่น่าจะหลุด
- ถ้าเปลี่ยนจากหุ้นเป็นทองคำจะดีไหม
ทองคำวิ่งแรงมากจาก 1,250 เหรียญต่อออนซ์ ตอนเดือนพฤศจิกายน ตอนนี้ 1,320 เหรียญต่อออนซ์ ขึ้นมา 70 เหรียญในระยะเวลาเดือนนิดๆ ถือว่าขึ้นมาแรง ในมุมผมมองว่าแถว 1,350 ขึ้นไปจุดสูงสุดเดิมตอนที่ทรัมป์เข้ามาประกาศเป็นผู้ชนะฮิลลารี คลินตันตอนนั้น ตอนนั้นเป็นแนวต้านสำคัญ คือ 1,350 คิดว่าใครจะลงทุนตอนนี้แล้วขึ้นไปแค่ 30 เหรียญ คิดว่ารอก็ได้ไม่จำเป็นต้องซื้อเร็ว แต่ใครมีในพอร์ตแล้วคิดว่าการถือในสัดส่วนที่เหมาะสมกับพอร์ตการลงทุน เช่น 5-10% มันจะช่วยกระจายความเสี่ยงและช่วยลดความเจ็บโดยรวมได้ ทองคิดว่าน่าจะย่อลงมาอีกทีสะสมเข้าพอร์ตคิดว่าแถว 1,270 ลงมา ถึงจะเป็นการหวังแถว 1,400 ตอนที่ดอลล่าร์อ่อนค่าลงมาแรงๆ