‘บมจ.เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย’ หรือ ‘JKN’ ผู้นำการจัดจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ระดับสากล รับให้ความสนใจเข้านำเสนอรายการเกี่ยวกับการเงินการลงทุนให้แก่ตลาดหลักทรัพย์ฯ พิจารณา หลังมีนโยบายเปิดกว้างให้เอกชนเสนอไอเดียการผลิตคอนเทนต์ ชูจุดแข็งคอนเทนต์รายการภายใต้แบรนด์ CNBC ที่ JKN ได้รับลิขสิทธิ์ผลิตรายการในประเทศไทยเป็นระยะเวลา 10 ปี จาก NBC ประเทศสหรัฐ ร่วมสร้างความรู้ด้านการเงินการลงทุนให้แก่ประชาชน ขณะแผนดำเนินงานปีนี้เติบโตตามแผน หนุนความเชื่อมั่นนักลงทุนรายใหญ่ให้ความสนใจติดต่อขอซื้อ Big Lot จากความเชื่อมั่นในศักยภาพการดำเนินธุรกิจของ JKN
คุณจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ JKN ผู้นำการจัดจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ระดับสากล เปิดเผยว่า จากนโยบายตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่ต้องการพัฒนาแพลตฟอร์มทั้งสื่อออนไลน์และออฟไลน์ โดยเปิดกว้างให้ผู้ประกอบการในธุรกิจสื่อที่มีความเชี่ยวชาญการผลิตรายการนำเสนอไอเดียและรูปแบบคอนเทนต์ เพื่อเป็นช่องทางให้ความรู้การเงินการลงทุนแก่ประชาชน หลังได้หยุดออกอากาศสถานีโทรทัศน์มันนี่ แชนแนลนั้น
บริษัทฯ มีความสนใจเสนอรายการที่เกี่ยวกับการเงินการลงทุนเพื่อออกอากาศในทุกแพลตฟอร์ม ให้แก่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นผู้พิจารณา เนื่องจาก JKN มีความแข็งแกร่งในฐานะที่เป็นผู้ผลิตคอนเทนต์รายการข่าวช่อง CNBC Thailand และการผลิตคอนเทนต์ภายใต้แบรนด์ CNBC ที่ได้รับลิขสิทธิ์จาก National Broadcasting Company Universal (NBC) ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นระยะเวลา 10 ปี หรือระหว่างปี 2560-2570โดยสามารถนำลิขสิทธิ์คอนเทนต์รายการภายใต้แบรนด์ CNBC ที่ผลิตและออกอากาศในต่างประเทศ มาทำการตัดต่อ แปลและพากย์เสียงภาษาไทยให้แก่ผู้ประกอบการสถานีโทรทัศน์เพื่อออกอากาศในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันได้เริ่มผลิตคอนเทนต์รายการภายใต้แบรนด์ CNBC ป้อนให้แก่ช่อง 3 และ Bright TV ตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ในช่วงปี 2562-2570 บริษัทฯ ยังได้รับสิทธิ์ผลิตรายการที่มีโครงสร้างรูปแบบรายการตามรายการของแบรนด์ CNBC ที่สามารถใช้พิธีกรและผู้ดำเนินรายการคนไทยในการผลิตรายการเกี่ยวกับข่าวธุรกิจและการลงทุนเพื่อออกอากาศในช่อง JKN CNBC ซึ่งดำเนินการโดยบริษัทฯย่อย ได้แก่ บริษัท เจเคเอ็น นิวส์ จำกัด ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมในการออกอากาศและลงทุนในอุปกรณ์เพื่อผลิตรายการ
“เรายอมรับว่ามีความสนใจเข้าไปผลิตรายการที่เกี่ยวกับการเงินการลงทุน ตามนโยบายเปิดกว้างของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งจะเป็นการต่อยอดสร้างความเข้มแข็งให้แก่ธุรกิจผลิตคอนเทนต์ของ JKN จากการได้รับสิทธิ์จาก NBC เพื่อผลิตรายการข่าวและคอนเทนต์รายการต่างๆ ภายใต้แบรนด์ CNBC ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นสถานีข่าวเศรษฐกิจที่ได้รับความน่าเชื่อถือจากคนทั่วโลก ซึ่งหากเราเข้าไปผลิตรายการได้ก็จะส่งผลดีต่อการเติบโตในระยะยาวให้แก่ JKN ต่อไป” คุณจักรพงษ์ กล่าว
ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในปีนี้เติบโตได้ตามแผนงานที่วางไว้ จากปัจจัยการดำเนินธุรกิจจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ประเภทซีรี่ส์อินเดียและฟิลิปปินส์ในตลาดต่างประเทศในกลุ่ม CLMV มีอัตราเติบโตที่โดดเด่น หลังจากช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้รับรู้รายได้บางส่วนจากการจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ซีรี่ส์อินเดียและฟิลิปปินส์และได้เริ่มทยอยส่งมอบลิขสิทธิ์ไปแล้วคิดเป็นมูลค่าไปแล้ว 177 ล้านบาท จากมูลค่าสัญญาทั้งหมด 240 ล้านบาท โดยในส่วนที่เหลือจะทยอยส่งมอบและรับรู้รายได้ในช่วงครึ่งปีหลังทั้งหมด ขณะที่ตลาดในประเทศก็ยังมีลูกค้าสถานีช่องทีวีดิจิทัลให้ความสนใจซื้อลิขสิทธิ์ซีรี่ส์อินเดียและฟิลิปปินส์ไปออกกาศเพิ่มเติม
ทั้งนี้ จากศักยภาพการดำเนินธุรกิจและแนวโน้มทางธุรกิจของ JKN ส่งผลให้มีนักลงทุนรายใหญ่ให้ความสนใจติดต่อขอเข้ามาลงทุนถือหุ้นบริษัทฯ เนื่องจากเชื่อมั่นศักยภาพและการเติบโตทางธุรกิจ โดยที่ผ่านมา รศ.ดร.นพ.เฉลิม หาญพาณิชย์ เจ้าของและผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH หรือ กลุ่มโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ผู้นำในธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนรายใหญ่ของไทย ให้ความสนใจเข้ามาลงทุนถือหุ้น JKN ในนามส่วนตัวเพื่อลงทุนในระยะยาว โดยได้ทำซื้อหุ้น Big Lot จากครอบครัว ‘จักราจุฑาธิบดิ์’ จำนวน 2 ครั้ง ซึ่งถือเป็นราคาที่สูงกว่าราคาในกระดาน ณ ช่วงทำการซื้อขาย ผ่านกระดาน Big lot แบ่งเป็นหุ้นของตัวเอง จำนวน 4 ล้านหุ้น ที่ซื้อในราคาหุ้นละ 13.30 บาท เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2561 และอีก 7 ล้านหุ้น เป็นการซื้อจาก ‘คุณพิมพ์อุมา จักราจุฑาธิบดิ์’ กรรมการ JKN ในราคาหุ้นละ 12.30 บาท เมื่อวันที่22 พฤศจิกายน 2561
ทั้งนี้ การเข้าซื้อดังกล่าว เนื่องจาก รศ.ดร.นพ.เฉลิม หาญพาณิชย์ มีความประสงค์ที่ต้องการเข้ามาลงทุนในบริษัทฯ เนื่องจากให้ความสนใจในธุรกิจผลิตและจำหน่ายคอนเทนต์ที่มีศักยภาพการเติบโตที่ดีในอนาคต ซึ่งการเข้ามาลงทุนครั้งนี้ไม่ได้มีผลกระทบต่อโครงสร้างการบริหารงานแต่อย่างใด