top of page
327304.jpg

หุ้นติดดอยไม่คอยเก้อ มั่นใจถ้ามีเลือกตั้ง


ชยนนท์ รักกาญจนันท์ หรือ Mr. Messenger แห่ง Finnomena ประเมินสถานการณ์หลัง การเลือกตั้งในอเมริกา 6 พฤศจิกายน 2561 กำหนดท่าทีประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งมีผลต่อ กรณีสงคามการค้าและ เศรษฐกิจในอเมริกา ตลอดจนการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ... ชี้ “ประชาชนชาวดอย” ไม่น่าต้องคอยเก้อ เพราะไทยจะมีเลือกตั้งใหญ่กะเขาเหมือนกัน และก่อนเลือกตั้งหน้า 3 หลัง 3 หุ้นจะดี๊ดี

ซึมซับรับปัจจัยร้ายหมดแล้ว

จับตาดู ทรัมป์ หลังเลือกตั้งก้ำกึ่ง

จากที่ตลาดคาดการณ์กันว่าจุดตัดสินใจหลักของไตรมาส 4 นี้ คือวันที่ 6 พฤศจิกายน 2561 ซึ่งเป็นวันเลือกตั้งในอเมริกา คือตลาดอยากเห็นว่าสุดท้ายแล้วสภาคองเกรส หรือหน้าตาของที่นั่งรัฐสภาและวุฒิสมาชิกจะเป็นอย่างไรบ้าง และอย่างที่เราเห็น คือ ครั้งนี้ไม่พลิกโผ ไม่เหมือนกับตอนเลือกตั้งใหญ่ที่ทรัมป์และฮิลลารีแข่งกัน ซึ่งทำให้ครั้งนี้เรามั่นใจได้ว่า โพลเริ่มกลับมาใช้การได้

ในมุมหนึ่งเมื่อผลเลือกตั้งออกมาเป็นอย่างนี้ คือเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ เดโมแครตได้สภาล่าง และรีพับลิกันได้สภาสูง ก็เป็นการคลายความกังวล...พอรู้อยู่ว่าจะเป็นแบบนี้ แต่ที่ตลาดไม่แน่ใจ คือ การดำเนินทิศทางนโยบายของทรัมป์ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร

อย่างที่เห็น 2 ปีที่ผ่านมานโยบายหลักที่ทรัมป์ปล่อยออกมาส่วนใหญ่เป็นนโยบายต่างประเทศทั้งนั้น และเป็นนโยบายที่เรียกว่าเป็นปัจจัยลบต่อตลาดหุ้น โดยเฉพาะตลาดหุ้นในเอเชียและจีน เช่น กรณีสงครามการค้า แต่ต่อจากนี้ไปถามว่า ทรัมป์ยังสามารถลงนามฝ่ายบริหาร หรือ executive order เหมือนเดิมหรือไม่ และถ้าทรัมป์ลงนามเสร็จเดโมแครตจะใช้อำนาจในสภาของตัวเองออกอภิปรายไม่ไว้วางใจเพื่อหัก executive order หรือไม่ คือตามบทกฎหมายอนุญาตให้ทางสภาผู้แทนราษฎรทำได้ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาไม่เคยมีใครทำ

ตอนนี้การลงนาม executive order คือในอดีตที่ผ่านมาถ้าประธานธิบดีมาจากพรรคใด ถ้าส.ส.กับส.ว.มาจากพรรคเดียวกัน ส่วนใหญ่ลงนาม executive order แต่ถ้ามาจากคนละพรรคประธานาธิบดีจะรู้ตามมารยาทว่าประชาชนไม่ได้เลือกตัวเองมาทั้งหมด จะเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมายตามกระบวนการปกติที่ไม่ใช่การลงนามของประธานาธิบดี

อย่างที่เราเห็น 2 ปีที่ผ่านมา คือ เขาไม่เหมือนประธานาธิบดีเหมือนท่านอื่น เพราะฉะนั้นตลาดจึงขอรอดูทิศทางนโยบายของเขาก่อน แต่โดยรวมแล้วถือว่าหลังเลือกตั้ง 6 พฤศจิกายน ถือว่าดีกว่าก่อน คือผ่านจุดที่แย่ที่สุดมาแล้ว แปลว่า ประธานาธิบดีทรัมป์จะไม่สามารถดำเนินนโยบายในสิ่งที่ตัวเองต้องการได้

สำหรับพันธบัตร 10 ปีของอเมริกา ล่าสุดเทรดกันอยู่ที่ประมาณ 3.2 ไม่เกิน 3.3 ยังไม่ทะลุทำนิวไฮ ในมุมหนึ่งคือถ้าย้อนกลับไปดูการประมาณการดอกเบี้ยนโยบายของเฟดเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ตลาดเชื่อว่าปีหน้าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยแบบชะลอตัว คือ ปีนี้ขึ้นไปแล้ว 3 ครั้ง เดือนพฤศจิกายนที่เพิ่งประชุมไม่ขึ้น แต่เดือนธันวาคมซึ่งตลาดรับรู้ไปแล้วคือเฟดจะขึ้น ปีนี้ทั้งปีขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง ส่วนปีหน้าเฟดบอกว่าน่าจะขึ้น 3 ครั้ง ขณะที่ตลาดล่วงหน้าคาดการณ์ว่าเฟดน่าจะขึ้นดอกเบี้ยปีหน้า 2 ครั้ง

สิ่งที่ตลาดกังวลไม่ใช่เรื่องดอกเบี้ยอยู่สูงเกินหรือไม่ สิ่งที่ตลาดกังวล คือ ความเร็ว ความถี่ของการขึ้นดอกเบี้ยมันเร็วขึ้นไหม พอมองในมุมนี้จากการเห็นข้อมูลแปลว่าปีหน้าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยที่ถี่น้อยกว่าปีนี้ ทำให้ตลาดคลายความกังวล ทำให้ตลาดพันธบัตรรัฐบาลดอกเบี้ยไม่สูงจนเกินไป ตรงนี้เป็นมุมหนึ่งที่เป็นปัจจัยบวกสำหรับตลาดหุ้น เพราะว่าพอต้นทุนต่ำนักลงทุนหรือคนที่มีเงินสดแต่อยู่ในสินทรัพย์ต่ำก็พยายามจะหา Yield ที่สูงกว่าหรือหาผลตอบแทนที่มากกว่า ซึ่งประจวบเหมาะกับเดือนตุลาคมที่ผ่านมาที่ขอเรียกว่า “ตุลาทมิฬ” ตลาดหุ้นลงทุกตลาดและลงรุนแรง แบบไม่ได้เห็นมาก่อนในระยะเวลา 3-4 ปีที่ผ่านมา

ศก.-หุ้นอเมริกายังนำโลก

หุ้นไทยลุ้นเลือกตั้งกุมภา

สุดท้ายแล้วดัชนี้หุ้นอเมริกายังใหญ่ที่สุดในโลก และเศรษฐกิจเป็นอันดับ 1 ของโลก ตัวเศรษฐกิจของอเมริกาไม่ว่าจะเกิดแย่ขึ้นมา ก็ยังเป็นผู้นำของโลกโดยเลี่ยงไม่ได้

ถามว่าตลาดหุ้นไทย จะวิ่งไปในทางเดียวกับตลาดอเมริกาได้ไหม เราคงต้องการปัจจัยของตัวเองในการกระตุ้น ... คิดว่าปัจจัยที่น่าสนใจ คือ การเลือกตั้งเดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้

ถ้าดูจาก found flow เราจะเห็นแล้วว่าเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาเราจะเริ่มเห็นต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิ อันนี้เป็นมุมหนึ่งที่น่าสนใจ ค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์เริ่มทรงตัวได้ ไม่อ่อนค่าอย่างรุนแรง

ตามสถิติย้อนหลังการเลือกตั้งในไทย 6 ครั้งหลัง... แม้เราจะไม่มีการเลือกตั้งมานานมาก แต่ 6 ครั้งหลังที่ผ่านมามี 5 ครั้ง ที่ตลาดหุ้นสามารถวิ่งได้ก่อนเลือกตั้ง 3 เดือนและหลัง 3 เดือนที่ยังให้ผลตอบแทนเป็นบวกนับจากวันเลือกตั้ง .... แปลว่า ไม่ว่าผลเลือกตั้งเป็นอย่างไร แต่การเลือกตั้งเป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของความหวังครั้งใหม่ของนักลงทุนและประชาชนในประเทศ

ถ้ากลับไปดูย้อนหลังการเลือกตั้งประมาณ 10 ครั้งหลัง มี 8 ครั้งที่ตลาดหุ้นไทยเป็นบวกได้ภายในระยะเวลา 1 ปีหลังจากการเลือกตั้ง

พอมองในมุมสมมุติฐานส่วนตัว คือ อาจจะเป็นไปได้ว่าคนไทยมีพฤติกรรมเหมือนให้โอกาส ตลาดหุ้นไม่ใช่พอเห็นหน้าว่ารัฐมนตรีเป็นแบบนี้ ฝ่ายบริหารเป็นแบบนี้ แล้วเทกันทิ้งไม่ชอบกันเลย เหมือนกับตลาดหุ้นมีท่าทีว่ารอแล้วให้โอกาส

พอดูแบบนี้แล้วถ้ามีการเลือกตั้งจริงแปลว่าปีหน้า 2562 น่าจะเป็นปีที่ดีของตลาดหุ้น

สุดท้ายอยู่ที่ว่า สมมุติว่าวิ่งแค่ 1 ปีแล้ว 2-3 ปีจะวิ่งได้ไหม คิดว่าคงต้องกลับมาดูที่ความเป็นจริงว่า เศรษฐกิจดีจริงไหม กีฬาสีจะเกิดขึ้นอีกไหม การลงทุนของภาครัฐที่ลงทุนไปสุดท้ายแล้วทำให้ความเชื่อมั่นเอกชนลงทุนตามกลายเป็นว่าเศรษฐกิจโตได้จริงหรือไม่...อันนี้คงต้องมาดูกันอีกที

ชาวดอยที่ 1,700 และ 1,800

ยังมีหวัง/หน่วยกู้ชีพขึ้นไปรับ

สำหรับนักลงทุนในตลาดหุ้น ที่ติดอยู่ยอดดอยเมื่อต้นปีที่กว่า 1,800 จุดละกลางปีที่ ติดแถวกว่า 1,700 จุด นายชยนนท์ ให้ความหวังว่า...

มีข้อมูลที่น่าสนใจ คือ Forward P/E ของตลาดหุ้นไทย ถ้า P/E คิดจากประมาณการกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนในอีก 4 ไตรมาสข้างหน้าอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 14 เท่าของตอนนี้ คือ ถูกสุดในรอบหลายๆ ปี ขณะที่ตลาดหุ้นไทยจ่ายปันผล 2.9% ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่ตลาดจ่ายได้ใกล้ๆ เลเวล 3 ในเอเชีย คือ จ่ายปันผลได้ค่อนข้างดีอยู่ ขณะที่การเติบโตของผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนก็มองว่าน่าจะเติบโต เช่น บลูมเบิร์ก มองว่าน่าจะโตได้ 10.9% ซึ่งโตที่สุดในอาเซียนและโตติดอันท็อปของเอเชีย แปลว่าในมุมมองของนักลงทุนมองว่าหุ้นไทยยังมีศักยภาพในการเติบโตใน 1 ปีข้างหน้า และในเชิงของมูลค่าหุ้นไทยถูกกว่าช่วงประมาณ 1-2 ปีที่ผ่านมา

“ถ้ามองด้วยเหตุผลนี้คิดว่าต่อจากนี้หุ้นไทยลงยาก ส่วนจะขึ้นไปถึงดอย 1,848 หรือไม่ ถามว่ามันจะผ่านตรงนั้นได้ไหม คิดว่าค่อยๆ มองให้มันผ่าน 1,800 ให้ได้ก่อน ถ้าเราเห็น 1,800 แล้วค่อยหวังกันอีกทีหนึ่ง”

16 views
bottom of page