นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมที่จะจ่ายปันผลกองหุ้นไทยพร้อมกันจำนวน 2 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นทุนปันผล (SCBDV) สำหรับการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม 2560 - วันที่ 30 เมษายน 2561 ในอัตราจ่ายปันผล 0.8000 บาทต่อหน่วย และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ซีเล็คท์ อิควิตี้ ฟันด์ (SCBSE) สำหรับผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม 2560 - วันที่ 30 เมษายน 2561 ในอัตรา 0.1500 บาทต่อหน่วย รวมมูลค่าประมาณ 472 ล้านบาท ให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนในวันที่ 18 พฤษภาคม 2561 นี้
นายณรงค์ศักดิ์กล่าวว่า ทั้ง 2 กองทุนดังกล่าวถือเป็นกองทุนดาวเด่นที่สร้างผลงานมาอย่างต่อเนื่องโดยกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นทุนปันผล (SCBDV) นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2546 รวมจ่ายเงินปันผลแล้วเป็นจำนวน 17.77 บาทต่อหน่วย โดย 1 ปีที่ผ่านมามีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 21.89% สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานดัชนี SET TRI ซึ่งอยู่ที่ 18.30% (ที่มา :SCBAM ข้อมูล ณ วันที่ 14 พฤษภาคม 2561) กองทุนนี้มีนโยบายเน้นการลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มีนโยบายหรือมีการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ
ขณะที่กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ซีเล็คท์ อิควิตี้ ฟันด์ (SCBSE) นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2554 รวมจ่ายเงินปันผลแล้วเป็นจำนวน 6.96 บาทต่อหน่วย โดย1 ปีที่ผ่านมาสามารถสร้างผลการดำเนินงานอยู่ในระดับที่น่าพอใจคือ 26.15% สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานดัชนี SET TRI ซึ่งอยู่ที่ 18.30% (ที่มา : SCBAM ข้อมูล ณ วันที่ 14 พฤษภาคม 2561) เป็นกองทุนที่มีกลยุทธ์การลงทุนด้วยวิธี Active Approach คือ จะคัดเลือกลงทุนในรายหุ้นที่น่าสนใจลงทุนมากที่สุดและสอดคล้องกับแนวโน้มการลงทุนในขณะนั้น โดยจะใส่น้ำหนักการลงทุนมากน้อยตามความน่าสนใจของหุ้นนั้นๆ ซึ่งกองทุนจะลงทุนในหุ้นไม่เกิน 30 ตัวในแต่ละขณะ จึงเหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงในระดับสูงได้ อีกทั้งยังเป็นกองทุน 5 ดาวจากมอร์นิ่งสตาร์อีกด้วย (ข้อมูล ณ วันที่ 30 เม.ย. 2561)
นายณรงค์ศักดิ์ กล่าวถึงภาพรวมการลงทุนตลาดหุ้นไทยว่า บลจ.ไทยพาณิชย์ ยังคงมีมุมมองหุ้นไทยในปีนี้ยังคงไปต่อได้อีก จากปัจจัยบวกทั้งตัวเลขเศรษฐกิจภายในประเทศ ตัวเลขการลงทุนภาครัฐที่ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการลงทุนในระเบียงเศรษฐกิจตะวันออกมีความความชัดเจนมากขึ้น อีกทั้งการบริโภคภาคเอกชนก็มีแนวโน้มที่ฟื้นตัวขึ้นตามราคาสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้น ราคาน้ำมันที่คาดว่าจะยืนอยู่ในระดับสูงซึ่งจะส่งผลบวกต่อกลุ่มพลังงานและกลุ่มปิโตรเคมี
ทั้งนี้สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นไทยนั้น กองทุนจะเน้นเลือกหุ้นที่ไม่ได้รับผลกระทบจากความไม่ชัดเจนด้านนโยบายภาครัฐ ซึ่งได้แก่ กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีที่ได้รับผลบวกจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นในระดับสูง กลุ่มพาณิชย์ที่ได้รับผลบวกจากการบริโภคภาคเอกชนที่เริ่มฟื้นตัว รวมถึงหุ้นที่จะจ่ายปันผลในฤดูกาลปันผลด้วย
อย่างไรก็ตามคาดว่าจะมีความผันผวนของตลาดหุ้นเพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ทั้งความไม่แน่นอนจากทางนโยบายการค้าระหว่างประเทศระหว่างสหรัฐอเมริกา - จีน การขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ส่งผลต่อเงินทุนต่างชาติที่เริ่มไหลออกจากกลุ่มประเทศเกิดใหม่กลับเข้าสหรัฐฯ ประกอบกับความไม่ชัดเจนในนโยบายภาครัฐที่จะส่งผลกระทบต่อหุ้นในบางกลุ่มอุตสาหกรรมซึ่งจะทำให้หุ้นปรับตัวลงบ้างเป็นระยะๆ ตามข่าวที่เกิดขึ้น