top of page
327304.jpg

BTC เมื่อขาใหญ่ลงมาเล่น


พอมีคำทำนายทายทักจากกูรูการเงินการลงทุนว่าบิทคอยน์จะเป็นฟองบู่แตกใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของอเมริกาเท่านั้น บรรดา”ขาใหญ่”วงการคริปโตเคอเรนซี พากันแห่มาพยุงบิทคอยน์ที่อาการผลุบๆโผล่ๆกันใหญ่ จนกลับมาเป็นขาขึ้น เปิดสัปดาห์แรกของเดือนพ.ค. ด้วยตัวเลขบวกและยืนไปจนถึงกลางสัปดาห์

ล่าสุดกลางสัปดาห์แรกของเดือนพ.ค. BTC-USD เข้าสู่โซน $10,000.แล้ว หากไม่สะดุดอันใดน่าจะข้ามเส้น 10,000 ได้ในสัปดาห์นี้

ใช่แต่บิทคอยน์ Top 5 เงินคริปโตของโลก อันมี Ethereum (ETH) ,Ripple (XRP), BitcoinCash (BCH) และ EOS ต่างก็พากันขึ้นยกแผง

สาเหตุที่เงินคริปโตนำโดยบิทคอยน์กลับมาเป็นขาขึ้นนั้น นักวิเคราะห์มองว่า เป็นผลมาจาก “ขาใหญ่” Big Players แห่กันมาหนุน

แต่กระนั้น ก็จะยืนหยัดอยู่ได้แบบทนทู่ซี้ (boring stability) เหตุจากนักลงทุนรายย่อยพากันชะงักมือจากมาตรการเข้มงวดกวดขันและดึงการเทรดเงินคริปโตเข้ากรอบ

ทำให้ยอดซื้อขายทั่วโลกทรุดฮวบ มาร์เก็ตแคปตกรูด

เฉพาะไทยนั้น ได้มีการออกกฎหมายตีกรอบการซื้อขายคริปโตเคอเรนซีให้ถูกกฎหมายด้วยการนำเข้าระบบภาษี

ภาษีเงินได้ ภาษีการค้า ภาษีธุรกิจเฉพาะ ฯลฯ จะทำให้การหลอกลวงของบริษัทนายหน้าหรือบริษัทตัวกลางขุดเหมือง บริษัทแนะนำการลงทุน กองทุนเถื่อนฯลฯ หายไป

บริษัทไหนไม่มีหมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษีมาเป็นหลักฐานยืนยันเพื่อความมั่นใจต่อนักลงทุน บริษัทนั้นๆจะเข้าข่ายบริษัทที่ดำเนินกิจการแบบแชร์ลูกโซ่ บริษัทมันนี่เกมหลอกลวง บริษัทธุรกิจเครือข่ายหลอกลวง บริษัทแนะนำการลงทุนฟอเร็กซ์เถื่อน บริษัทกองทุนเพื่อการลงทุนเถื่อน บริษัทสะแกม ฯลฯ

แม้แต่ฮ่องกง ที่เป็นแหล่งตั้งแพลทฟอร์มเหมืองขุดคอยน์ใหญ่ที่สุดในโลก ก็มีข่าวว่ากำลังลงมือจัดการกับอาชญากรคริปโตเคอเรนซีขนานใหญ่

เพราะนอกจากจะก่ออาชญากรรมทางการเงินผ่านระบบซื้อ-ขายเงินคริปโตแล้ว ยังทำให้นักลงทุนขาดความมั่นใจในการลงทุน เทรดดิ้งวอลุ่มในแต่วันลดลงอย่างน่ากังวล

ตลาดนิวยอร์ก ลอนดอน และสิงคโปร์ ยอดเงินซื้อขายในแต่ละวันในเดือนเมษายนลดลงอย่างน่าเป็นห่วง

จาก 17 พันล้านดอลลาร์เมื่อเดือนธันวาคม เหลือ 9.1 พันล้านดอลลาร์ในเดือนมีนาคม จากราคาที่ตกลงไป 70% มาฟื้นเอาเดือนเมษายน ตีกลับมา 25% มูลค่าซื้อขายครึ่งแรกของเดือน 7.4 พันล้านดอลลาร์

บรรดา บริษัทบล็อกลงทุน (Blog traders) ขาใหญ่ พยายามจัดงานประชุมสัมมนาชี้แจงให้ความกระจ่างแก่นักลงทุนในหลายประเทศ

อย่างเช่น Cumberland บริษัท block trader ที่ใหญ่ที่สุดในโลกบริษัทหนึ่งเป็นต้น ได้จัดงานประชุม สัมมนางานเอ็กซโปใน 35 ประเทศ รวมทั้งประเทศไทย เป็นต้น

ทั้งนี้ เพื่อให้ความมั่นใจแก่นักลงทุน โดยเดือนตุลาคมนี้ จะจัดที่สิงคโปร์ ที่เชื่อว่าจะเป็น Asian Crypto Expo 2018 ใหญ่ที่สุดในโลก

งานนี้ขาใหญ่อย่าง John McAfee เจ้าพ่อซอฟท์แวร์แอนตี้ไวรัสคงจะไม่พลาด เพราะเมื่อเดือนมกราคมได้พาบรรดาสาวก นักลงทุนชาวสิงคโปร์กว่า 600 คนล่องเรือสำราญมาเที่ยวหาดภูเก็ต

จัดสัมมนากันใกล้ชายหาด จากนั้นหอบหิ้วกันเข้ามาเที่ยวต่อที่กรุงเทพฯ

Gatecoin สำนักแลกเปลี่ยนเงินคริปโตรายใหญ่ของฮ่องกง เผยตัวเลขการลงทุนของนักลงทุนรายย่อยว่าลดลงมาก จากสูงสุด 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อวัน ลงต่ำมากๆ ซึ่งทางบริษัทไม่ได้แสดงตัวเลข

อย่างไรก็ดี การที่บรรดา Big Players พร้อมใจกันโดดเข้ามาอุ้มเงินคริปโตเช่นนี้ แม้จะไม่เห็นผลทันที วัดได้จากบิทคอยน์ที่ราคาเคลื่อนไหวระหว่าง 8,900- 9,050 เมื่อปลายเดือนเม.ย.

แต่เชื่อว่าเดือนกันยายนศกนี้ มันจะฟื้นตัวขึ้นมาอย่างกระปรี้กระเปร่า ซึ่งหากเป็นไปตามแผนการฟื้นฟูและกระตุ้นของบรรดาขาใหญ่ ภายใน 3 ถึง 6 เดือนข้างหน้า เงินคริปโตจะดีดกลับมาไม่ต่ำกว่า 70%

Aurelien Menant ผู้ก่อตั้งและประธานบริหาร Gatecoin เชื่อมั่นวา บิทคอยน์จะทะยานขึ้นไปถึง 100,000 ดอลลาร์ ภายในสิ้นปีนี้

มองอีกด้านหนึ่ง ที่ค่อนข้างจะเป็นด้านร้าย Joe Duncan แห่ง Duncn Capitalสิงคโปร์ เชื่อว่านักลงทุนรายย่อยจะกลับมา หากรัฐบาลผ่อนคลายกฏข้อบังคับเข้มงวด

“แต่กระนั้นบิทคอยน์ก็จะยังคงสูญเสียความเป็นผู้ผูกขาดตลาดอยู่ดี”

สอดรับกับ Thomas Lee หุ้นส่วนกรรมการจัดการและผู้ก่อตั้งร่วม Fundstrat Global Advisors แห่งนิวยอร์กที่ระบุว่า บิทคอยน์จะอยู่ในสภาพ “เลวร้าย (purgatory)” ไปจนถึงอย่างน้อยเดือนกันยายน

ทั้งนี้ด้วยเหตุผลว่า แม้ว่าบล้อกเชนจะเป็นผู้ปฏิวัติระบบการเงินทั่วโลก

แต่สำหรับบิทคอยน์แล้ว ยังไม่ได้รับการยอมรับให้เป็นสกุลเงินตรา (currency) และไม่มีมูลค่าแท้จริง (intrinsic value)

มีการเสนอให้บิทคอยน์และเงินคริปโตใช้ทองคำเป็นมูลค่าหนุนหลัง (gold based)ซึ่งขณะนี้ในไทยมีการอ้างอิงในลักษณะนี้อยู่หลายสำนัก แต่ไม่มีใครสามารถนำบิทคอยน์ไปเข้าระบบเงินตราที่มีทองคำสำรอง (Gold Reserve) หนุนหลังได้

เพราะทุกคนลงความเห็นและต้องการให้มันอยู่ในรูปของ “เบี้ยพนัน (gamble subject)”

เพราะฉะนั้น ราคาของมันจึงเหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงอยู่เช่นนี้ไปไม่สิ้นสุด ขึ้นอยู่กับปริมาณซื้อขายและเก็งกำไรกันในตลาด

แล้วราคาแท้จริงของมันควรจะอยู่ที่ใด ?

หากคำนวณและวิเคราะห์กันตามทฤษฎีเงินตราเชิงปริมาณ quantity theory of money ที่ใช้ความต้องการเงินตรากับปริมาณที่สนองแล้ว

มูลค่าบิทคอยน์ที่เมื่อปลายสัปดาห์ของปลายเดือน เม.ย. ราคาล่วงหน้าอยู่ที่ 8,600 ดอลลาร์ต่อบิทแล้ว ราคาหรือมูลค่าแท้จริงจะอยู่ระหว่าง 20 -20,000 ดอลลาร์

แต่เมื่อใช้หลักคณิตศาสตร์คำนวณตามทฤษฎีเงินตราเชิงปริมาณแล้ว เมื่อวันพุธปลายเดือนเม.ย. มีการเทรดบิทคอยน์ 17.1 พันล้านหน่วย จากจำนวนทั้งหมด 21 พันล้านหน่วย ที่ราคา 9.091 ดอลลาร์ มาร์เก็ตแคป154.6478 พันล้านดอลลาร์

คำนวณกันที่ราคา กับปริมาณที่เทรดกันแล้ว ราคาของบิทคอยน์จะอยู่ที่ 600 ดอลลาร์สหรัฐ

เชื่อไหม ?

26 views
bottom of page