อิสระ อรดีดลเชษฐ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ หรือ SCBS ส่งสัญญาณหุ้นไตรมาส 2 เจอแรงกดดันจากปัจจัยหนักๆ ทั้งสงครามการค้าและอัตราดอกเบี้ย ส่งผลหุ้นไตรมาส 2 ไซด์เวย์ ปลอบขวัญนักลงทุนอย่าเพิ่งหมดกำลังใจ ราตรีนี้ยังอีกยาวไกล....ฝันยังไม่จบ
เข้าสู่ไตรมาส 2 แล้ว คุณอิสระมองสถานการณ์แนวโน้มตลาดหุ้นเป็นอย่างไร
ผ่านไตรมาส 1 เข้าสู่ไตรมาส 2 อย่างรวดเร็ว ... จริงๆที่เรามองกันอยู่คือ ไตรมาส 2 อาจเนือยๆหน่อย เพราะไตรมาส 1 หุ้นไทยเร่งตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วมากๆ โดยถูกผลักดันขึ้นมากจากหุ้นกลุ่มพลังงาน กลุ่มน้ำมัน ดังนั้นเมื่อเข้าไตรมาส 2 เวลาที่จะลงทุนนั้นต้องไม่ลืมมองว่า ตอนที่เราลงทุนราคาถูก หรือแพงไปหรือไม่ ตอนไตรมาส 1 ที่หุ้นขึ้นมาทำให้แวลูเอชั่นเริ่มตึง ฟอร์เวิร์ดพีอีก็ขึ้นมาสูงมากพอสมควร นำมาซึ่งการปรับฐานของหุ้นในเวลาต่อมา
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันที่ขึ้นมาเกือบ 70 เหรียญแล้วจึงทำให้แรงต้านต่อการขึ้นต่อไปของราคาน้ำมันที่จะทำให้ราคาสูงไปกว่านี้มีเพิ่มขึ้น และในไตรมาส 2 มีการหมุนวนออกจากการลงทุนกลุ่มพลังงาน
ดังนั้นเมื่อกลุ่มพลังงานหมุนลง ก็ทำให้หุ้นเคลื่อนไหวในลักษณะไซด์เวย์มากกว่า แล้วนักลงทุนเองก็ต้องหาหุ้นเซ็คเตอร์อื่นมาลงทุน
ขณะเดียวกันไม่เพียงมีเรื่องของปัจจัยของไทยเองที่ต้องดู นักลงทุนต้องดูเรื่องความเสี่ยงนอกบ้าน ทั้งดอกเบี้ย และเรื่องร้อนแรงอย่างสงครามการค้า เทรดวอร์ ที่สหรัฐอเมริกากับจีนกำลังเผชิญหน้ากัน ว่าจะเอาอย่างไรกันต่อไป อันนี้เป็นความกดดันในตลาดมาพักหนึ่ง
ดังนั้น โดยสรุป คือ ไตรมาส 2 นี้น่าจะเคลื่อนไหวออกไซด์เวย์ ยิ่งเดือนเมษายนมีวันหยุดยาวด้วย จึงคงไม่หวือหวาเท่าไหร่ในเชิงดัชนีหุ้น
แบบนี้คนที่ลงทุนซื้อหุ้นไว้ก่อนแล้วนี่จำเป็นต้องมอบตัวหรือไม่
ขึ้นกับว่าลงทุนจังหวะไหน เพราะว่าต้องไม่ลืมว่าไม่ว่าหุ้นขาขึ้นหรือขาลง ก็มีหุ้นที่ทำกำไรได้ คนไหนที่ลงทุนถูกหุ้นถูกตัวในไตรมาส 1 เช่นในกลุ่มพลังงาน กลุ่มปิโตรเคมี กลุ่มโรงกลั่นเป็นหลัก คิดว่ากำไรในระดับหนึ่งแล้ว ดังนั้นเมื่อน้ำมันเริ่มส่งสัญญาณราคาให้เห็นๆ แล้ว ก็ให้เริ่มทยอยขายเปลี่ยนตัวเล่นออกไปหาเซ็คเตอร์อื่นที่น่าจะดีในไตรมาสที่ 2 ซึ่งเดี๋ยวตอนท้ายจะบอกว่ามีหุ้นอะไรบ้าง
ส่วนนักลงทุนอีกกลุ่มหนึ่งที่พลาดไปแล้วในไตรมาสที่ 1 ก็ขึ้นอยู่กับว่าหุ้นที่ถือนั้นพื้นฐานเป็นอย่างไร ถ้าบังเอิญหุ้นที่ถืออยู่ยังถือต่อไปได้ หรือว่าน่าจะซื้อเพิ่มเติมด้วยตามที่จะแนะนำต่อไป ก็ยังพอได้อยู่
ส่วนนักลงทุนที่หุ้นที่พลาดแล้วจริงๆ หุ้นที่ถือมันลงมาถึงจุดคัทลอสแล้วก็ต้องคัทลอสก่อน แล้วไปลงทุนซื้อในกลุ่มอื่นดีกว่า
หุ้นกลุ่มแบงก์เองก็แย่หนัก
ความจริงกลุ่มแบงก์เป็นกลุ่มที่ผมชอบนะ แบงก์เป็นตัวสะท้อนภาวะเศรษฐกิจจริงๆกลุ่มหนึ่ง พอดีมาเจอข่าวเรื่องค่าธรรมเนียม กับเรื่องที่คนกังวลในกลุ่มแบงก์ก็คือ เรื่องความกังวลที่ปล่อยสินเชื่อแล้วไม่โต เรื่องการปล่อยสินเชื่อช้าและระวัง อีกเรื่องคือเอ็นพีแอล
ทีนี้ เอา 2 เรื่องใหญ่ก่อนเพราะเป็นโครงสร้างเลยคือ เศรษฐกิจเติบโตได้ดี การส่งออกโตต่อเนื่อง การลงทุนเริ่มขยับตัวขึ้นมา ดังนั้นเรื่องการปล่อยสินเชื่อนับวันจะดีขึ้น ทั้งสินเชื่อภาคเอกชนและสินเชื่อภาครัฐด้วย เรื่องของวงจรสินเชื่อเริ่มเห็นสัญญาณแล้วว่าดีขึ้น ส่วนในเรื่องของหนี้เสีย เอ็นพีแอลเริ่มเห็นว่าในหลายธนาคารเลขหนี้เสียเริ่มนิ่งแล้ว มีการบริหารจนเริ่มปรับลงมา ไตรมาสที่แล้วหลายธนาคารมีการตั้งสำรองเผื่อหนี้สูญไว้จำนวนมากเลย ดังนั้นเรื่องหนี้สูญจะลดลงไป
สำหรับเรื่องสงครามค่าธรรมเนียม ผมคิดว่าเป็นการโมเดิร์นไนซ์ ของกลุ่มธนาคารมากกว่า เพราะว่าเป็นยุคดิจิทัลแล้ว จึงอาจจะต้องหันไปแข่งรูปแบบอื่น เช่น การทำเวลธ์เมเนจเมนต์ การลงทุน และการเอื้ออำนวยในการทำธุรกิจภาคเอกชน หรือเอสเอ็มอีมากขึ้น ส่วนพวกค่าธรรมเนียมช่วงแรกๆนี่ก็ต้องยอมรับว่าจะทำให้ได้รับผลกระทบ แต่ในระยะกลาง ระยะยาว เอาท์ลุคของแบงก์น่าจะสดใสดีขึ้น
ไม่ต้องตกใจครับ เรื่องเทรนด์ของค่าฟีความจริงเรารับรู้มานานแล้วด้วยซ้ำว่าจะเกิด
เพราะฉะนั้นถือต่อได้
ถือต่อได้ครับ
กลยุทธ์การลงทุนที่จะมีช่องทางทำกำไรในไตมาส 2 ที่จะเป็นไซด์เวย์ การเลือกหุ้นให้ถูกตามที่คุณอิสระแนะนำมีอะไรบ้าง
เนื่องจากว่ามีธีมการลงทุนที่น่าเหมาะสมกับไตรมาส 2 และดันให้เลยไตรมาส 2 ไปได้ด้วยซ้ำ ผมมี 3 ธีมมาฝากนักลงทุน ตามนี้คือ
1. การลงทุนในประเทศ ยังไปต่อได้ ... ฝันยังไม่จบนะครับ ... ท่านไหนที่ตามเศรษฐกิจอาจสังเกตว่า 2 ไตรมาสที่ผ่านมาภาครัฐเบิกเงินไม่ออกเลย การลงทุนภาครัฐติดลบไปเลย ไตรมาส 4/2560 การลงทุนภาครัฐติดลบ 6% ถ้าท่านไหนไม่ได้ตามข่าวอาจจะตกใจว่า...เอ ชักยังไง ก็มีการโฆษณาการลงทุนภาครัฐ กลับกลายว่าไม่มีการลงทุนจริง อันนี้เป็นเรื่องการนำเอา พ.ร.บ. จัดซื้อจัดจ้างมาใช้ ซึ่งเริ่มใช้เมื่อสิงหาคมปี 2560 ซึ่งทำให้การเบิกจ่ายสะดุดไป แต่ถ้าดูหลังๆ นี้ตัวเลขเบิกจ่ายเริ่มๆ ไหลเข้าระบบแล้วใน 2 เดือนที่ผ่านมา การเบิกจ่ายงบประมาณเริ่มดีขึ้น
ดังนั้นในเรื่องของโมเมนตัมการลงทุน เรื่องของภาคเอกชนและภาครัฐยังเติบโตได้ ยังเป็นอะไรที่น่าลงทุนต่อ
ดังนั้นในธีมที่ 1 ที่แนะนำนี้ เป็นการแนะนำหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ สำหรับหุ้นที่ชอบนี้แล้วแต่เลยว่าชอบแบบไหน ถ้าเชื่อว่าภาคเอกชนมาแน่นอน ก็จะมี หุ้น BBL ที่มีพอร์ตการปล่อยสินเชื่อให้ภาคคอร์ปอเรตยเอะหน่อย ก็น่าสนใจ แต่ถ้าใครยังไม่ชัวร์กับการลงทุนของภาคเอกชน ก็หันมามองภาครัฐก็มีการเบิกจ่ายงบประมาณ ก็หนีไม่พ้น KTB ที่จะได้รับอานิสงส์
ก็เป็น 2 แบงก์ที่เราเชียร์ในไตรมาส 2
2. กลุ่มที่เกี่ยวกับเรื่องการใช้จ่ายในประเทศ ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของประเทศ คือกลุ่มใช้จ่ายของผู้บริโภค จริงๆ แล้ว การฟื้นตัวการใช้จ่ายค่อยๆดีขึ้น แต่จริงๆต้องดูว่ามีนักท่องเที่ยวเข้ามาใช้จ่ายประเทศเราด้วย อันนี้เป็นตัวกระตุ้น ในเรื่องของการค้าปลีกในประเทศไทย นอกจากนั้นมีความกังวลเรื่องกำลังซื้อรากหญ้าไม่ค่อยดี ราคาสินค้าเองที่ผ่านมาก็ไม่ได้ดูดีอะไร ดังนั้นจึงทำให้ภาครัฐเองก็ใช้มาตรการต่างๆดูเรื่องของความเป็นอยู่ อย่างต่อเนื่อง
ดังนั้นในเรื่องการใช้จ่ายของคนไทยเองก็เป็นสิ่งที่คาดหวังได้ว่าเป็นการเติบโต
อีกอันที่ ต้องไม่ลืมคือเพิ่งมีการผ่านเรื่องการใช้จ่ายงบกลางปีออกมา 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งอันนี้ก็น่าจะเกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้บริโภคประมาณ 1 แสนล้านบาท ก็น่าจะเป็นตัวช่วยให้หุ้นกลุ่มรีเทลค้าปลีกน่าจะดี จึงมีหุ้นรีเทล 3 ตัวคือ BJC, GLOBAL, ROBINS ที่น่าสนใจ หุ้นพวกนี้นอกจากการเติบโตของการบริโภคแล้ว ภาษาหุ้นเรียกว่า... แลกการ์ด ... คือยังเปิดรูมให้ขึ้นไปได้อีกในไตรมาส 2 นี้
3. ถ้าเราคาดผิดใน 2 ธีมแรก ยังไงก็ไม่มีทางผิดเลยคือ เรื่องการดูแลสุขภาพ ความที่เศรษฐกิจดีขึ้น ความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยดีขึ้น คนไทยเริ่มรู้จักคุ้นเคยกับการมีประกันสุขภาพมากขึ้น กลุ่มที่มองข้ามไม่ได้เป็นกลุ่มโรงพยาบาล ลงทุนในระยะยาวได้ด้วย จะเห็นว่า พฤติกรรมคนที่บริการเริ่มเปลี่ยนเพราะมีประกันสุขภาพ ก็เลยให้ตรวจรักษาที่มากขึ้น ค่ารักษาพยาบาลมากขึ้น โหมดเรื่องการใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาลของไทยเริ่มคล้ายอเมริกามากขึ้น คือค่าใช้จ่ายต่อหัวของคนสูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะมีประกันสุขภาพนี่แหละ หุ้นที่เลือกมาฝากในกลุ่มนี้ คือหุ้น BDMS CHG ก็แล้วแต่จะเลือกเลย คือ นักลงทุนที่สนใจเรื่องกลุ่มไฮเอนด์ ที่ลูกค้าอัปสเกลก็แนะนำ BDMS ส่วนระดับกลางคนไข้เงินสด CHG ก็น่าสนใจ เพราะว่าราคาหุ้น CHG ช่วงที่ผ่านมาปรับลงมาเยอะ เอิร์นนิ่งค่อนข้างดี
กลุ่มนี้ผมเชื่อว่าเป็นกลุ่มที่ลงทุนได้ดี และเชื่อว่าเป็นกลุ่มที่ถือได้ในการลงทุนระยะยาว
ถ้าเลือกเป็นกลุ่มประกันเลยดีหรือไม่
ถ้าหุ้นประกันที่ผมชอบคือ BLA เราเคยเชียร์ไตรมาส 1 ..แต่ว่าตอนนี้รอปัจจัยเรื่องดอกเบี้ย เพราะราคาหุ้นประกัน โดยเฉพาะ BLA เคลื่อนไหวตามราคาพันธบัตรรัฐบาล ดูเหมือนกลุ่มนี้ถูกกดดันอยู่ อเมริกาเองกดดอกเบี้ยพันธบัตรก็ปรับลงมา 10 กว่าเบสิทพอยต์ ไม่ค่อยสดชื่น
แต่ในอนาคตเราเห็นอยู่แล้วว่าอเมริกาขึ้นดอกเบี้ย ที่ผมมองคือมองว่า เฟดน่าจะขึ้นดอกเบี้ย 4 ครั้ง จาก 3 ครั้งเพราะเงินเฟ้อน่าจะเร่งตัวขึ้นในช่วงกลางปี ดังนั้นถ้าเกิดดอกเบี้ยพันธบัตรอเมริกาขึ้น โดยปกติ ดอกเบี้ยไทยก็จะวิ่งไล่ตามไปด้วย ซึ่งตอนนี้ผมว่าแปลกนิดตรงดอกเบี้ยพันธบัตรไทย ถูกกว่าดอกเบี้ยพันธบัตรอเมริกา ซึ่งปกติไม่ควรเกิดขึ้น เพราะการกู้เงินอเมริกาจะกู้ได้ถูกกว่าไทย กลายเป็นว่าเรากู้ถูกกว่าเขา ซึ่งโครงสร้างตัวนี้มันต้องสลับ ทีนี้คนที่มองว่าเงินเฟ้ออเมริกา เงินเฟ้อไทยเร่งตัวขึ้นมาสู่เป้าหมายที่ธนาคารกลางมองกันไว้ ตัวบอนด์ยิลด์ก็จะเร่งตัวขึ้นมา และชัดเจนมากว่าทุกคนปักใจเชื่อว่าถ้า บอนด์ยิลด์ขึ้น ราคาหุ้นประกันต้องขึ้น ก็จะเป็นความสดใสของหุ้นกลุ่มประกันภัย