top of page
312345.jpg

ซื้อขายเงินดิจิตอล...ไม่แน่จริง อย่าแหยม!


ชั่วโมงนี้กระแสความสนใจในการขุดเหรียญเงินดิจิตอลที่มีมากมายหลายสกุลโดยเฉพาะ บิทคอยน์ การซื้อขายบิทคอยน์ฟิวเจอร์สที่ตลาดชิคาโก้ และการลงทุนซื้อเหรียญ ICO กำลังอยู่ในความสนใจของนักลงทุนเป็นจำนวนมาก และมีจำนวนไม่น้อยไม่มีความเข้าใจ ไม่รู้จักมันดีพอ แต่เห็นคนที่เข้าไปในตลาดนี้หาเงินสร้างรายได้มีกำไรเป็นกอบเป็นกำก็คิดอยากจะลองกระโดดเข้าไปร่วมวงกับเขาบ้าง

ทั้งนี้กระแสการซื้อขายเงินดิจิตอลเพิ่งมาแพร่หลายในเวลาไม่นานมานี้เอง แต่หน่วยงานกำกับของหลายๆประเทศยังไม่ยอมรับ ไม่มีการรับรองทางกฎหมาย

นายชยนนท์ รักกาญจนันท์ ที่ปรึกษาการลงทุน ที่รู้จักกันในนาม Mr.Messenger กล่าวให้ความเห็นว่า การเข้ามาหากำไรจากเงินดิจิตอลสกุลต่างๆ ต้องมีความระมัดระวังมาก และควรทำความเข้าใจให้ยอมรับว่ามีความเสี่ยงสูงมาก โดยราคาที่ปรับสูงขึ้นมามากแล้ว แม้ว่าในช่วงกลางเดือนมกราคม ที่ผ่านมาจะมีการ คอลเล็กชั่นเขย่าราคาลงมาแรงๆ แล้วก็ยังถือว่ามีระดับราคาที่แพงมาก ที่สำคัญคือการไม่เป็นที่ยอมรับจากทางการของประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทย จะทำให้ไม่ได้รับความคุ้มครอง ชนิดที่ว่าถ้าเกิดปัญหาใดขึ้นมาต้องยอมรับ จะไปฟ้องร้องเอากับใครไม่ได้นอกจาก ฟ้องพ่อฟ้องแม่อย่างเดียว

ถามว่าการเปลี่ยนแปลง โลกการซื้อขาย การลงทุนทางการเงินรูปแบบใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในเวลานี้มีมากและกระแสแรงจนเราไม่อาจปฏิเสธมันได้ในที่สุด

“สกุลเงินดิจิตอลที่กำลังเห่อกันมาก ก็มีความคล้ายกันกับ Internet และ Facebook ที่เข้ามาใหม่ๆ ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายควบคุมว่าใครจะสามารถเข้าใช้งานล็อคอิน Facebook ได้ กว่าที่ภาครัฐจะออกกฎหมายมารองรับก็มีผู้ใช้ Facebook มากถึง 20-30 ล้านคนเข้าไปแล้ว ส่งผลทำให้ภาครัฐจะไปเรียกเก็บภาษีก็ไม่สามารถทำได้ เพราะจะกระทบกับคนส่วนใหญ่ในระบบ

ส่วนกรณีของ Cryptocurrency ก็มีลักษณะคล้ายกัน คือ ยังไม่มีกฎหมายมารองรับ แม้จะมีจำนวนผู้ลงทุน หรือจำนวนผู้ให้ความสนใจลงทุนใน Cryptocurrency มาก แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในวงจำกัด

เพราะฉะนั้นผู้กำหนดนโยบายอย่างก.ล.ต.หรือแบงก์ชาติในช่วงนี้ต้องเข้ามาดูแลว่าจะสามารถคุมเข้มหรือวางกฎระเบียบเพื่อ Cryptocurrency อยู่ในกรอบมากน้อยได้อย่างไร โดยการวางกฎระเบียบให้ทันเวลาก่อนที่คนส่วนใหญ่จะเข้าไปลงทุนมากกว่านี้ ซึ่งต้องให้ระยะเวลากับ ก.ล.ต.ศึกษาการวางกฎระเบียบ”

ICO คล้ายๆ IPO

ถือเป็นหลักทรัพย์หรือไม่

นายชยนนท์อธิบายว่า ในอีกมุมมองหนึ่ง เห็นว่า Digital Currency ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์ และเป็นอีกหนทางหนึ่งในการระดมทุน เหมือนที่มีบริษัทจดทะเบียนในตลาดแห่งหนึ่งกำลังระดมทุน

“การระดมทุน Digital Currency ซึ่งการระดมทุนครั้งแรก เรียกว่า ICO หรือ Initial Coin Offering ซึ่งพ้องกันกับ IPO คือ Initial Public Offering เช่นเดียวกันกับหุ้นที่ต้องระดมเงินทุนครั้งแรก

แต่ ICO กับ IPO มีความต่างกัน คือ ถ้า IPO คนที่จ่ายเงินให้บริษัทจะได้ความเป็นเจ้าของและจะได้หุ้นกลับมา ส่วน ICO คนจ่ายเงินไปจะได้เป็นเหรียญที่เรียกว่า Token กลับมา ซึ่งต้องตีความว่ามันคือหลักทรัพย์หรือไม่

ขณะที่ คำนิยามของธนาคารหรือกฎหมายในหลายประเทศ หลักทรัพย์ คือ การไปถือหรือการเป็นสิทธิ์ในเจ้าของสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้วได้ประโยชน์จากสิ่งนั้น ถามว่าแล้วการเป็นเจ้าของ Cryptocurrency ถือว่าเป็นเจ้าของอะไร ซึ่งกฎหมายไทยไม่ได้รองรับเรื่องนี้ ขณะที่สหรัฐอเมริกาตีความเรื่อง Cryptocurrency ว่าเป็นหลักทรัพย์ เพราะว่ากฎหมายสหรัฐอเมริกาได้ตีความแบบกว้างไว้ว่า สิ่งใดก็แล้วแต่ที่ผู้ถือไม่ได้ลงแรงหรือไม่ได้มีความพยายามทำอะไรแล้วได้ผลตอบแทนสิ่งนั้นเรียกว่าหลักทรัพย์

แต่ในประเทศไทยได้ตีความแคบกว่านั้น ทำให้กลายเป็นว่าใครจะออก ICO หรือ Cryptocurrency ที่เข้ามาอยู่ประเทศไทยในตอนนี้ยังไม่มีกฎหมายรองรับ

สิ่งที่เห็นในช่วงที่ผ่านมาทาง ก.ล.ต.ที่ทำได้มีเพียง แจ้งเตือนว่าการลงทุนใน ICO หรือ Cryptocurrency ไม่ได้อยู่ภายใต้กฎหมายรองรับ นักลงทุนหรือผู้ที่สนใจควรใช้วิจารณญาณและใช้ความระมัดระวัง สมมุติว่าเกิดโดนใครโกง ICO ขึ้นมาไม่สามารถฟ้องศาลได้เพราะเป็นความเสี่ยงของนักลงทุนต้องรู้ไว้ก่อนว่าสิ่งนี้อยู่นอกเหนือกฎหมายประเทศไทย”

รู้ว่าเสี่ยง แต่อยากจะขอลอง

หรือดูอยู่ห่างๆ สบายใจกว่า

สำหรับ คนที่สนใจจะลงทุนใน Cryptocurrency อย่างแรกเลยคือ ต้องยอมรับว่า มีความเสี่ยง ... ความเสี่ยง นั้นคือ ความไม่รู้ หรือรู้แล้วยังอยากลองเข้าไปเสี่ยงจะเป็นอย่างไร

“ประเด็นที่ผู้ลงทุนกำลังจะลงไปเล่น Bit Coin หรือสกุลเงินดิจิตอล ต้องถามก่อนว่าผู้ลงทุนรู้จริงหรือไม่ว่าหน้าที่ของ BitCoin และเบื้องลึกของผู้ที่ก่อตั้งขึ้นมาตั้งใจจะนำไปทำอะไร สมมุติถ้ารู้ว่าจะเอาไปทำอะไร สิ่งที่ผู้ลงทุนต้องรู้ต่อว่าจะเชื่อตามสิ่งที่ผู้ที่ก่อตั้งคิดจะเป็นได้หรือไม่ อย่าง Bit Coin ต้นกำเนิดออกมาเพื่อตั้งใจแทนเงินสกุลหลักของโลก

ผู้ก่อตั้งเชื่อว่าวันหนึ่ง ค่าเงินดอลลาร์ เยน หรือ ยูโร จะอ่อนค่า จนมูลค่าหายไป อีกทั้งยังเชื่อว่าระบบการเงินในโลกที่คนกุมอำนาจบอกว่าหากเกิดเหตุการณ์ขึ้นจะเป็นธนาคารและธนาคารกลาง ซึ่งผู้ก่อตั้ง Bit Coin บอกว่าสิ่งนี้ไม่แฟร์เพราะทำให้ต้นทุนการโอนย้ายระหว่างไปมามีมูลค่าสูงเกินไป ซึ่งจะทำให้มีคนได้และเสียประโยชน์ แต่ Bit Coin หรือ Cryptocurrency มีค่าธรรมเนียมในการโอนถูกกว่ามาก

นอกจากนี้ระบบของ BitCoin หรือ Cryptocurrency ได้ตัดระบบคนกลางออกไป อย่างทุกวันนี้การฝากเงินในธนาคาร สมมุติว่าธนาคารล้มลงหากผู้ฝากมีเงินมากกว่าที่ พ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝาก คุ้มครอง เงินที่มีฝากไว้ก็หายไปเพราะธนาคารล้มละลาย

ผู้ที่คิดค้นระบบ BitCoin ได้บอกว่า 1.สกุลเงินจะหายไป 2.ไม่เชื่อว่าระบบที่มีธนาคารเป็นตัวกลางจะยั่งยืนต่อไป เพราะฉะนั้นเทคโนโลยีเบื้องหลัง Bit Coin คือการเอาฐานข้อมูลไว้ในคอมพิวเตอร์ของทุกๆคนที่อยู่ในระบบ ใครจะปลอมแปลงเอกสารก็ต้องเข้าไปในคอมพิวเตอร์ ซึ่งการปลอมแปลงยากมากจึงได้เกิดเป็นแนวคิดนี้ขึ้นมา

เมื่อค่าเงินอ่อนตัวจนมูลค่าหาย เพราะคาดการณ์ว่าในอีก 10 ปีข้างหน้าค่าเงินดอลลาร์จะตก พอมองในมุมนี้ทำให้เชื่อแต่ยังเชื่อไม่มาก ทำให้อยากจะมีส่วนร่วมจึงต้องแบ่งการลงทุน นับว่าเป็นกรณีศึกษาของ Bit Coin”

นายชยนนท์ กล่าวว่า โลกเราตอนนี้ในช่วงที่ผ่านมามีเงินสกุล Cryptocurrency หรือเงินดิจิตอล ประมาณ 1,400 สกุล และทุกอาทิตย์จะออกมา 20 สกุล อย่างของไทยกำลังประกาศว่าจะออกเงินสกุล JFin Coin ของ Jaymart ทำให้เริ่มสงสัยแล้วว่าจะเล่นเงินสกุลไหนเหมือนกับมีหุ้น IPO ออกมาตลอดๆ ซึ่งตรงนี้ต้องระมัดระวัง ไม่ว่าออกที่ประเทศไทยหรือต่างประเทศ กฎหมายประเทศไทยไม่รองรับใดๆทั้งสิ้น ความเสี่ยงนี้ต้องรับได้ทั้งหมด ซึ่งใจจริงอยากให้เป็นคนดูดีกว่า อย่ากระโดดลงไปน่าจะดีที่สุด”

เหมือนเช่นปลายปี 2560 ที่ผ่านมามีการเก็งกำไร เงิน BitCoin ขึ้นมาสูงมากๆ จากนั้นก็ถูกเท อย่างแรง นายชยนนท์ กล่าวว่า เกิดจากการปรับขึ้นแรงเกินไป โดยเมื่อถึงกลางเดือนพฤศจิกายน 2017 ปรับขึ้นแตะที่ 20,000 เหรียญ ถือว่าปรับขึ้นมาจำนวนมาก พอมาเดือนมกราคม 2017

Bit Coin ปรับลดลงจาก 20,000 เหรียญ ลงมา 50% เหลือ 10,000 เหรียญ ดูเหมือนว่าปรับลงแรง แต่ถ้าเทียบกับเมื่อต้นปี 2017 ที่ 2,000 ยังมองว่ามีราคาแพงเกินไป

“ภาพค่อนข้างชัดเจนว่า Bit Coin คนที่เข้าไปลงทุนอยู่ข้างในเป็นการเก็งกำไรค่อนข้างสูงมาก โดยส่วนตัวมีเหรียญ Bit Coin อยู่และได้ขายล้างพอร์ตไปหมดแล้ว โดยในช่วงไตรมาส 3-4 ของปี 2017 ที่ผ่านมา เริ่มเห็นความผันผวนใน 1 วัน สามารถบวกลบ 40-50% มากกว่าที่ตลาดหุ้นไทยกำกับไว้ ความผันผวนขนาดนี้คิดว่าไม่ใช่การลงทุนซึ่งน่าจะเริ่มมีปัญหาอะไรบางอย่าง

อีกทั้งค่าเงินสกุลหลักของโลก โดย www.bloomberg.com ได้มีการเข้าไปดูเทคโนโลยีเบื้องหลังของ Digital Currency ทุกตัวที่เป็น Blockchain ซึ่งได้เปิดให้ใครสามารถดูเลขบัญชีนี้ว่ามี Bit Coin จำนวนเท่าไหร่นับว่าโปร่งใสมาก ทำให้มีนักวิเคราะห์ของ Bloomberg เข้าไปทำการดูว่า Bit Coin ที่วิ่งขึ้นมาขนาดนี้ใครได้ประโยชน์สูงสุด และ www.bloomberg.com ได้ตีแผ่ออกมาว่าปริมาณ Bit Coin ในปัจจุบันทั้งหมด 16 ล้าน Token อยู่ในจำนวนคนไม่เกิน 10 คน หรือประมาณ 70% ของทั้งหมด

หมายความว่า Bit Coin ที่วิ่งขึ้นมามีคนลงทุนไม่ถึง 10 คนที่รวยขึ้นอย่างมหาศาล แสดงว่าคนลงทุนใน Bit Coin มีคนจำนวนน้อยที่ถือเงินจำนวนมากอยู่เมื่อเทียบกับคนลงทั่วโลก แสดงว่าคนเหล่านี้มีลักษณะคล้ายกับ Market maker ลองคิดดูว่าวันแรกที่ออก ICO ของ Bit Coin ราคา 250 เหรียญ ปัจจุบันขึ้นมาอยู่ที่ 10,000 เหรียญ ถ้าขาย 2-3% ก็จะเกิด Impact ต่อราคาทั้งหมดแล้ว หากขายตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงกำไร

เพราะฉะนั้นในมุมส่วนตัวจะเข้าใจหรือไม่ และ Bit Coin สกุลหลักของโลกจำนวนคนถือที่ได้ประโยชน์จริงจาก Digital Currency มีฟอร์มเดียวกัน เมื่อเป็นแบบนี้ก็แสดงให้เห็นว่าวันนี้ยังไม่ใช่สิ่งที่ลงทุนในระยะยาว เพราะยังต้องการการเรียนรู้จากนักลงทุน หาก Bit Coin จะเป็นสกุลเงินที่เข้ามาแทนสกุลดอลลาร์ ยูโร หรือ เยน ปริมาณเงินจะต้องอยู่ในมือคนที่มากกว่านี้หลายๆเท่า ซึ่งคิดว่าในวันนี้ยังไม่ใช่…”

แลกบิทคอยน์เป็นเงินได้อย่างไร

ยังมีผู้ลงทุนสงสัยว่า Bit Coin จะแปลงเป็นเงินได้อย่างไร ในเมื่อบอกว่า บิทคอยน์ ไม่ต้องใช้ตัวกลาง แล้วแลกเปลี่ยนอย่างไร คำตอบคือ ยังไงก็ต้องมีตัวกลาง ซึ่งปัจจุบันคนที่เล่นเก็งกำไรบิทคอยน์รู้ดีว่า มีที่ไหนบ้าง เป็นแหล่งรับแลก

“ในประเทศไทยมีบริษัทจดทะเบียนรับหน้าที่เป็นตัวกลางเหมือนกับเวลาที่จะซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ทำให้ต้องไปเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ โดยในตลาด Digital Currency จะมีโบรกเกอร์เหมือนกัน

วิธีทำ คือ เปิดบัญชีในออนไลน์ ถ่ายหน้าบัตรประชาชน เซ็นชื่อกำกับ แล้วส่งข้อมูลพร้อมโอนเงินจากธนาคารไทยเข้าไปในบัญชีโบรกเกอร์เหมือนที่โอนเงินให้กับตลาดหลักทรัพย์

ขั้นตอนการซื้อขายจะไม่เหมือนในตลาดหลักทรัพย์ คือ ค่าธรรมเนียมของตลาดลหักทรัพย์ตอนซื้อขายผ่านมาร์เก็ตติ้ง 0.25% หากซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ต 0.15% แต่ถ้าซื้อขายผ่านโบรกเกอร์ Digital Currency มีค่าธรรมเนียมโอนไป 1% โอนกลับก็คิดอีก 1% จะเห็นว่าค่าธรรมเนียมค่อนข้างสูง และเป็นบัญชีที่ต้องโอนเงินก่อนแล้วค่อยซื้อ ไม่ใช่ซื้อแล้วบวกสามค่อยจ่ายเงิน เพราะเป็น Cash Account อย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งตรงนี้มีวิธีดำเนินการ คือ ต้องดูโบรกเกอร์ที่เชื่อว่าทำธุรกิจมานาน หากจะมีการเทรดจริงก็ต้องไปดูว่าโบรกเกอร์สามารถเทรดได้หลายสกุลเงินจริง สามารถที่จะเข้าไปดูในเว็บไซต์ได้ และดูขั้นตอนการโอนและการคิดค่าธรรมเนียม เพราะว่าโบรกเกอร์ Digital Currency คิดค่าธรรมเนียมแพงมาก โดยโบรกเกอร์ Digital Currency ยังสามารถแปลงเงินบาทเป็น Bit Coin และยังแปลงจาก Bit Coin เป็นเงินสกุลอื่นโดยไม่ต้องกลับมาเป็นเงินบาท”

ซื้อขายบิทคอยน์ล่วงหน้า

ที่ตลาดชิคาโก

นายชยนนท์ อธิบายต่อว่า ในส่วนของความเป็นมาของการซื้อขาย บิทคอยน์ล่วงหน้ส ที่ตลาด Chicago ซึ่งเป็นตลาดซื้อขายอนุพันธ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่เพิ่งเปิดให้ซื้อขาย เกิดจากตลาดเห็นว่ามีปริมาณค่าธรรมเนียมในการซื้อขาย Digital Currency จำนวนมากโดยเฉพาะ Bit Coin จึงเห็นช่องทางโอกาสเอาตลาดอนุพันธ์ไปผูกกับ Bit Coin แล้วให้มาซื้อขายอนุพันธ์ที่เป็น Bit Coin ในตลาดนี้แทนจะดีหรือไม่ และเปิดให้ซื้อขายในที่สุด

“โดยส่วนตัวผมมองว่า ตัวเหรียญ Bit Coin ยังสามารถขุดกัน บวกลบวันละ 30-40% แล้วถ้าเป็นตลาดอนุพันธ์อาจจะบวก 200% หรือลบขาดทุน 70-80% มากกว่าราคา ก็มีความเป็นไปได้เหมือนกัน นั่นคือมีความเสี่ยงยิ่งสูงมาก ตลาดอนุพันธ์มีความคล้ายกันกับอนุภาคระเบิดปรมาณูที่มีอานุภาพใหญ่”

อย่างไรก็ตาม คนไทยที่อยากซื้อ บิทคอย์ล่วงหน้า หรืออนุพันธ์ของบิทคอยน์ในชิคาโกก็ทำได้ โดยซื้อผ่านโบรกเกอร์ ซึ่งโบรกเกอร์ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในไทยสามารถซื้อขายอนุพันธ์กับตลาด Chicago Board โดยเป็นสมาชิกของ Chicago Board ทำให้สามารถซื้อขาย Digital Currency ที่เป็นอนุพันธ์ได้ด้วย คือ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) ซึ่งถือว่าไม่ผิดกฎหมาย...แต่ก็ไม่มีกฎหมายคุ้มครอง

“อย่าลืมว่า การลงทุนนี้ ไม่ใช่ลงทุนใน Bit Coin แต่เป็นการลงทุนใน Future Bit Coin ในมุมมองยิ่งเสี่ยงมากเพราะหากใครจะลงทุนลองดูราคา Bit Coin แล้วลองคิดว่าวันหนึ่งบวกลบคูณสองแล้วดูว่านักลงทุนสามารถรับความเสี่ยงได้หรือไม่”

189 views
bottom of page