top of page
312345.jpg

3 ข่าวดังการตลาดปี 2560


ปี 2560 เป็นอีกปีหนึ่งที่มีเหตุการณ์สำคัญในแวดวงการตลาด หลากหลายเรื่องราวที่เกิดขึ้น “ดอกเบี้ยธุรกิจ” ได้ทำการรวบรวมข่าวเด่น-ดัง เพื่อย้อนให้ระลึกถึงกันอีกครั้ง

อาลีบาบาย้ายฐานไปมาเลเซีย

พี่ไทยรอเก้อ-ยังละเมอว่าจะมา

ช่วงประมาณปลายปี 2559 มีเรื่องฮือฮาสำหรับประเทศไทย เอสเอ็มอีไทย และเศรษฐกิจไทย ที่ได้รับข่าวดีจากที่ “แจ๊ค หม่า” ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของอาลีบาบากรุ๊ป ซึ่งปัจจุบันถือเป็นผู้ประกอบการอี-คอมเมิร์ซรายใหญ่ที่สุดของโลกได้มาเยือนเมืองไทย ซึ่งการมาเยือนดังกล่าว แจ๊ค หม่า ได้เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในนามของรัฐบาลประเทศไทย เพื่อพูดคุยหารือความเป็นไปได้ที่อาลีบาบากรุ๊ป จะมีโอกาสเข้ามาลงทุนในประเทศไทย

หลังการเข้าพบดังกล่าว แจ๊ค หม่า ได้ประกาศชัดเจนถึงความสนใจประเทศไทย โดยเฉพาะฐานที่ตั้งจากภูมิประเทศของไทย เหมาะที่จะเข้ามาลงทุนสร้างศูนย์กระจายสินค้าของอาลีบาบากรุ๊ป เนื่องจากไทยมีความพร้อมและเหมาะสมในหลายๆด้าน ซึ่งหากทำสำเร็จ ก็จะผลักดันประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางกระจายสินค้าหรือฮับในภูมิภาคอาเซียนทันที

ที่สำคัญไปกว่านั้น สิ่งที่รัฐบาลไทยวาดหวังไว้ลึกๆ คือการพึ่งพาอาลีบาบากรุ๊ป ผลักดันสินค้าของเอสเอ็มอีไทย ให้โลดแล่นสามารถขายสินค้าไปทั่วโลก เพราะจากขุมกำลังและศักยภาพของอาลีบาบากรุ๊ป สามารถทำฝันสินค้าเอสเอ็มอีของประเทศไทย ให้สามารถขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ของอาลีบาบากรุ๊ปได้ทั่วโลก

ทั้งนี้ แจ๊ค หม่า ยังได้กล่าวชมนโยบายและยุทธศาสตร์การก้าวเดินของรัฐบาลไทย ที่พยายามผลักดันไทยแลนด์ 4.0 พร้อมกับยังได้ชี้ชัดพื้นที่ในโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ Eastern Economic Corridor (EEC) ของไทย มีความเหมาะสมที่จะเป็นที่ตั้งของศูนย์กระจายสินค้าของกลุ่มอาลีบาบากรุ๊ป อีกด้วย

แต่แล้วก็มีข่าวฮือฮาเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อช่วงเดือนมีนาคม 2560 แต่คราวนี้ถือเป็นข่าวไม่ค่อยดีนักสำหรับประเทศไทย เมื่อ นาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีของประเทศมาเลเซีย และ แจ๊ค หม่า ร่วมกันประกาศเปิดเขตการค้าเสรีดิจิทัล หรือ DIGITAL FREE TRADE ZONE (DFTZ) ในงาน เสวนา โกลบอล ทรานส์ฟอร์เมชั่น ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2560 ซึ่งว่ากันว่า โครงการที่เกิดขึ้นนั้น เป็นการพูดคุยกันเพียง 10 นาทีเท่านั้นระหว่าง นาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย และ แจ๊ค หม่า และ 10 นาทีดังกล่าว ก็ทำให้ แจ๊ค หม่า ได้ให้ความสนใจและตัดสินใจพร้อมดำเนินการโครงการ DFTZ ให้เป็นรูปธรรมทันทีที่มาเลเซีย

สำหรับ DFTZ จะเป็นเขตปลอดภาษีดิจิทัล และจะส่งเสริมการค้าที่มีมูลค่าสูงถึง 65,000 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2568 โครงการนี้เกิดการจ้างงานถึง 60,000 ตำแหน่ง แล้วจะเพิ่มการส่งออกของเอสเอ็มอีมาเลเซียเป็น 2 เท่า นอกจากนี้ ยังจะทำให้เกิดบริษัทที่ให้บริการอินเทอร์เน็ตลิงก์ 1,000 บริษัท โครงการดังกล่าว เป็นการผลักดันมาเลเซียให้กลายเป็นแหล่งกระจายสินค้าอี-คอมเมิร์ซของจีนและของภูมิภาคอาเซียนนี้ โดย DFTZ ตั้งอยู่ภายในโครงการเคแอลไอเอ แอโรโพลิส ที่เซปัง บนเนื้อที่ 24,700 เอเคอร์ พัฒนาโดยบริษัทมาเลเซีย แอร์พอร์ท โฮลดิง นับเป็นโครงการแรกที่อยู่นอกประเทศจีนและเป็นโครงการที่สองของโลก

ทั้งนี้ ก่อนที่จะมีการเปิดตัว DFTZ ในปี 2560 เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2559 ทางประเทศมาเลเซียได้แต่งตั้ง แจ๊ค หม่า ให้เป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่ง แจ๊ค หม่า ทำหน้าที่ให้คำแนะนำในการสร้างหนทางแห่งอนาคตให้กับมาเลเซีย ซึ่งขณะนั้น แจ๊ค หม่า ได้ตอบรับเข้าร่วมการประชุมโกลบอล ทรานส์ฟอร์เมชั่น ฟอรั่ม ซึ่งเป็นงานที่ แจ๊ค หม่า และ นาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีของประเทศมาเลเซีย ได้ร่วมกันประกาศเปิด DFTZ ดังกล่าวเมื่อเดือนมีนาคม 2560

เรื่องราวดังกล่าวที่เกิดขึ้น สวนทางจากเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2559 จากที่ แจ๊ค หม่า ได้เข้าพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย พร้อมประกาศจะช่วยสนับสนุนเอสเอ็มอีของไทย อีกทั้งจะพาเอสเอ็มอีไทยไปศึกษางานที่อาลีบาบากรุ๊ป ประเทศจีน รวมถึงสิ่งที่พิเศษสุดๆคือให้ความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย พร้อมผลักดันให้ไทยกลายเป็นฮับทางด้านการกระจายสินค้าในภูมิภาคอาเซียน แต่ล่าสุด กลับกลายเป็นว่า แจ๊ค หม่า ได้หันเหไปลงทุนในประเทศมาเลเซียแทน ทำให้เกิดคำถามมากมาย ว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใด แจ๊ค หม่า จึงเมินประเทศไทย ทั้งๆที่เพิ่งเข้าพบนายกรัฐมนตรีของไทย เพื่อหารือพูดคุยถึงความเป็นไปได้ที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย

อย่างไรก็ตาม มีการวิเคราะห์ว่า สิ่งที่ แจ๊ค หม่ายังไม่เลือกลงทุนในประเทศไทยในขณะนั้น น่าจะมาจากเรื่องการเมืองในประเทศไทยที่ยังไม่มีเสถียรภาพเท่าที่ควร จากที่นานาชาติรับทราบกันดีว่า ขณะนี้ประเทศไทยปกครองในระบบแบบพิเศษ จึงทำให้ไม่มีความแน่นอนใดๆ โดยเฉพาะภาคการลงทุนในโครงการที่ต้องใช้เม็ดเงินจำนวนมหาศาล ก็ยิ่งถือว่ามีความสุ่มเสี่ยงไม่น้อยทีเดียว

ขณะเดียวกัน ก่อนหน้านี้ รัฐบาลไทยมีการศึกษาเรื่องซิงเกิล เกตเวย์ ก็ยิ่งทำให้ไม่เอื้อต่อภาคการลงทุนเท่าใดนัก ซึ่งเรื่องนี้ ทำให้นักลงทุนวิตกกังวล เพราะไม่แน่ใจในการล้วงลับข้อมูลที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคตตลอดเวลา เรื่องดังกล่าว ยิ่งทำให้นักลงทุนไม่เฉพาะรายแค่ แจ๊ค หม่า เท่านั้นที่ไม่มั่นใจ แต่จะเป็นนักลงทุนทั่วโลกทุกรายที่ไม่ต้องการลงทุนในประเทศที่ประกาศใช้ซิงเกิล เกตเวย์

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจแบบดิจิทัลของประเทศไทยที่ยังไม่ได้มีความพร้อมนัก อีกทั้ง การตั้งศูนย์กระจายสินค้าในประเทศไทยขณะนั้น หากมองในภาพรวมโดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านของไทยที่อยู่รายล้อม ก็ต้องยอมรับว่าในโครงสร้างพื้นฐานไอทีของแต่ละประเทศ ก็ยังไม่ก้าวไกลสักเท่าไหร่ ดังนั้น จึงมีข้อสรุปที่ว่า ประเทศไทยยังไม่เหมาะสมที่จะใช้เม็ดเงินลงทุนจำนวนมหาศาลเพื่อสร้างศูนย์กระจายสินค้า เพราะมีความเสี่ยงในหลายๆด้าน ขณะที่ประเทศมาเลเซียนั้น จากที่รัฐบาลมาเลเซียประกาศชัดเจนพร้อมสนับสนุนในทุกด้าน อีกทั้งความก้าวไกลของโครงสร้างเทคโนโลยีต่างๆที่มีความพร้อมสุดๆ มากกว่าประเทศไทย ปัจจัยเหล่านี้ แจ๊ค หม่า จึงตัดสินใจที่จะเลือกลงทุนในมาเลเซียก่อน ส่วนประเทศไทยนั้น ยังคงต้องรอเวลาอีกสักระยะหนึ่ง เพื่อให้เกิดความพร้อมเต็มที่กว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

“เจ้าสัวเจริญ” ทุ่มกว่า 1 หมื่นล.

ซื้อสาขาเคเอฟซีที่เหลือในไทย

ช่วงต้นเดือนสิงหาคม 2560 ตลาดหลักทรัพย์ประเทศสิงคโปร์ ได้รับแจ้งบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นของ เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี หรือเจ้าพ่อน้ำเมาที่คนไทยรู้จักกันเป็นอย่างดี และยังมีธุรกิจในเครืออีกมากมาย ว่าได้มอบหมายให้บริษัท เดอะ คิว เอส อาร์ ออฟ เอเชีย จำกัด หรือคิวเอสเอ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัทไทยเบฟเวอเรจ ได้ทำสัญญาการซื้อขายกับทาง บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด โดยสัญญาซื้อขายดังกล่าว บริษัท คิว อาร์ เอเชีย ได้ทุ่มเม็ดเงินเป็นจำนวน 1,1300 ล้านบาท เพื่อเข้าซื้อกิจการร้านเคเอฟซีในประเทศไทยที่มีอยู่จำนวน 240 สาขา พร้อมกับร้านที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา

การเข้าซื้อกิจการร้านเคเอฟซีดังกล่าว มีการให้เหตุผลต่อมาว่า กลุ่มไทยเบฟเวอเรจ ต้องการนำร้านเคเอฟซีมาต่อยอดในธุรกิจอาหาร ซึ่งก่อนหน้าหลายปี ทางกลุ่มไทยเบฟเวอเรจ ก็ได้เข้าซื้อกิจการร้านอาหารและเครื่องดื่มโออิชิ รวมถึงกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มของเสริมสุขซึ่งยังเป็นผู้ผลิตและจำหน่าย และยังได้ซื้อกิจการบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์รวม 797 สาขาในไทย ซึ่งแต่ละปีบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ สร้างรายได้หลักแสนล้านบาททีเดียว

หลายปีก่อนหน้านี้ เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี และผู้บริหารระดับสูงหลายท่านในบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ ได้ออกมาแจงถึงเหตุผลถึงการเข้าซื้อกิจการหลากหลายว่าต้องการลบภาพความเป็นบริษัทน้ำเมาที่ยึดติดมาแต่ดั้งเดิม ขณะเดียวกัน ในช่วงระยะหลายปีหลังมานี้ ตลาดน้ำเมาทั้งเหล้าและเบียร์หากมองถึงการเติบโตจะเห็นว่าไม่สดใสนัก เนื่องจากกระแสสังคมรวมถึงกฎหมายในประเทศไทย เริ่มที่จะแรงและไม่เอื้อนักที่จะทำให้ตลาดดังกล่าวมีการขยายตัว ซึ่งไม่เหมือนอดีตที่ผ่านมาที่แต่ละปีมีการเติบโตแบบหวือหวา ส่งผลให้ช่วงระยะหลังมานี้ เจ้าสัวเจริญได้ทุ่มงบจำนวนมหาศาล ดาหน้าเข้าซื้อกิจการนอนแอลกอฮอล์เป็นว่าเล่น ทั้งนี้ก็เพื่อตอบโจทย์กับเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้ชัดเจนมากขึ้น

สำหรับร้านเคเอฟซีในประเทศไทย นอกจากจะบริหารโดยกลุ่มไทยเบฟเวอเรจจำนวน 240 สาขาแล้ว ที่ผ่านมาร้านเคเอฟซีในประเทศไทย จะมีผู้ประกอบการ 2 รายที่บริหารร้านเคเอฟซีด้วยคือกลุ่มซีอาร์จี ในเครือเซ็นทรัล บริหาร 224 สาขา และบริษัท เรสเทอรองตส์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด หรือ อาร์ดี ซึ่งบริหารโดยกองทุนอาเซียนอินดัสเตรียลโกรทฟันด์ หรือ เอไอจีเอฟ อีก 128 สาขา รวมแล้วจะมีร้านเคเอฟซีในไทยขณะนี้ที่ประมาณ 600 สาขา โดยก่อนหน้านี้ทางบริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ได้ประกาศแนวทางชัดเจนในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย โดยต้องการขายกิจการร้านเคเอฟซีที่เหลืออยู่ในประเทศไทย พร้อมกับวางแนวทางตัวเองเป็นผู้บริหารแบรนด์เคเอฟซี พร้อมกับให้แฟรนไชส์แก่พันธมิตร

สำหรับร้านเคเอฟซี มีเป้าหมายขยายสาขาร้านเคเอฟซีในประเทศไทยให้ครบ 800 สาขาในปี 2563 โดยตั้งแต่ต้นปี 2560 ได้เปิดแผนธุรกิจที่จะปรับตัวเองสู่โมเดลผู้ให้บริการแฟรนไชส์ร้านเคเอฟซี 100% ในปี 2560 นี้ ซึ่งได้ขายกิจการร้านที่เหลืออยู่ 240 สาขาให้กับกลุ่มไทยเบฟเวอเรจ โดยก่อนหน้านั้นในปี 2558 ได้ขายกิจการ 128 สาขาให้กับทางบริษัท เรสเทอรองตส์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ซึ่งจากนี้บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด มีเป้าหมายและแนวทางที่ชัดเจน คือจะไม่ลงทุนขยายสาขาร้านเคเอฟซีในประเทศไทยด้วยตัวเองอีกต่อไป

ลือปตท.เขี่ยเซเว่นอีเลฟเว่น

ปั้นจิฟฟี่โตได้ที่รอเสียบแทน

เป็นข่าวดังที่คนไทยให้ความสนใจกันไม่น้อย กรณีบริษัท ปตท. บริหารธุรกิจค้าปลีก จำกัด หรือ พีทีทีอาร์เอ็ม บริษัทในเครือปตท.เตรียมความพร้อมและความแข็งแกร่งให้กับร้านสะดวกซื้อ “จิฟฟี่” ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยประกาศรุกพร้อมกับแย้มการต่อสัญญาร้านสะดวกซื้อ “เซเว่นอีเลฟเว่น” ในสถานีบริการน้ำมันในปตท.ที่เวลานี้เปิดให้บริการอยู่ประมาณ 1,100 สาขา จากสถานีบริการน้ำมันปตท.ทั้งหมดที่ 1,400 สาขา โดยอาจจะไม่ต่อสัญญากับเซเว่นอีเลฟเว่นที่เปิดอยู่และกำลังค่อยๆทยอยหมดสัญญาภายใน 6 ปีจากนี้

เรื่องดังกล่าวผุดขึ้นมาพร้อมกับถูกจับตามอง แม้ว่าในวันถัดไปจะมีการประกาศจากทาง ปตท.ว่าเซเว่นอีเลฟเว่นที่บริหารโดยซีพีออลล์คือพันธมิตรทางธุรกิจในระยะยาว และมีการเผยแนวทางที่จะร่วมกันขยายเซเว่นอีเลฟเว่นในช่วง 4-5 ปีจากนี้ในสถานีบริการน้ำมันปตท.ให้ครบถึง 1,700 สาขาก็ตาม แต่ในเชิงธุรกิจ ก็ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาก็จะเห็นว่าได้ถึงความไม่แน่นอน ทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงและเกิดขึ้นได้เสมอในโลกธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงและต้องการกำไรสูงสุด

สำหรับบริษัท ปตท. บริหารธุรกิจค้าปลีก จำกัด เป็นบริษัทในเครือของปตท.ที่ตั้งและเปิดดำเนินธุรกิจทางด้านค้าปลีกมาหลายปี โดยที่บริษัทดังกล่าว เปิดขึ้นเพื่อรองรับธุรกิจค้าปลีกในเครือของปตท.ซึ่งที่ผ่านมาพีทีทีอาร์เอ็มได้ผ่านการบริหารแบรนด์มาแล้วหลากหลายและก็ประสบความสำเร็จอย่างสูง ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์จิฟฟี่ แบรนด์ร้านกาแฟอเมซอน และแบรนด์ร้านสะดวกซื้อ ฯลฯ

ทั้งนี้ในปัจจุบันร้านสะดวกซื้อ “จิฟฟี่” มีสาขาในสถานีบริการน้ำมันปตท. 149 สาขา และมีอีก 6 สาขาที่อยู่นอกพื้นที่สถานีบริการน้ำมัน และแผนในอีก 5 ปีข้างหน้า ปตท.ได้เปิดแผนการลงทุนแล้วว่า จะมีการใช้งบขยายสถานีบริการน้ำมันขนาดพื้นที่ 6-7 ไร่ต่อ 1 สาขา รวม 30 สาขา ซึ่งแน่นอนแล้วว่าขนาดพื้นที่ดังกล่าว จะเป็นการขยายร้านสะดวกซื้อโดยจะเป็นแบรนด์จิฟฟี่ไม่ใช่เซเว่นอีเลฟเว่นที่มีสัญญาการขยายสาขาในสถานีบริการน้ำมันปตท.ต้องมีขนาดพื้นที่ไม่เกิน 4 ไร่เท่านั้น ดังนั้น การขยายสาขาของสถานีบริการน้ำมันปตท.ในอนาคต ร้านสะดวกซื้อจะชื่อจิฟฟี่ไม่ใช่เซเว่นอีเลฟเว่นอย่างแน่นอน

ดังนั้น ต้องจับตาดูอนาคตของเซเว่นอีเลฟเว่นในสถานีบริการน้ำมันปตท. จากนี้จะยังคงเป็นพันธมิตรตามที่ผู้บริหารระดับสูงของปตท.ยืนยันหรือไม่อย่างไร โดยเฉพาะในช่วง 6 ปีจากนี้ สาขาเซเว่น-อีเลฟเว่นในสถานีบริการน้ำมันปตท.กำลังทยอยหมดสัญญาไปทีละแห่งสองแห่ง ก็คงจะได้คำตอบในเร็ววันนี้

43 views
bottom of page