บล.แอพเพิล เวลธ์ ฟันธง! SET เดือนธันวาคม ยังมีโอกาสแตะ 1,750 จุด เป็นการฮึดเฮือกสุดท้ายจากพลังของ LTF–RMF ที่คาดว่าจะมีเข้ามาซื้อหุ้นโค้งท้ายปลายปี กว่า 3 หมื่นล้านบาท ขณะที่ยังมีนักกลยุทธ์นักวิเคราะห์จำนวนไม่น้อยมองว่า พลังส่งของ LTF–RMF ในช่วงค้างท้ายปลายปีอาจมีไม่มากพอและทำให้ดัชนีไปได้แค่ 1,720 จุด ขณะที่ฝรั่งถ้าเริ่มหยุดพักพอร์ตช่วงเทศกาลคริสต์มาสกันแล้วหลังจากขายสุทธิกันมาก่อนหน้า ส่วนปัจจัยเรื่องดอกเบี้ยเฟดยังเป็นเงาปกคลุมอยู่ แม้ตลาดหุ้นไทยซึมซับรับรู้ข่าวเฟดขึ้นดอกเบี้ยในรอบการประชุมส่งท้ายปี 13-14 ธันวาคมกันไปหมดแล้ว แต่ไม่แคล้วมีผลเชิงจิตวิทยา
ในช่วงเวลาที่เหลือเดือนธันวาคม 2560 ซึ่งเป็นช่วงโค้งสุดท้ายปลายปี ตลาดได้ตั้งความหวังเช่นเดียวกับในปีที่ผ่านๆมาว่า ตลาดหุ้นไทยน่าจะได้แรงส่ง มีเงินเข้ามาไล่ซื้อหุ้น ทำให้หุ้นในกระดานและดัชนีหุ้นปรับขยับขึ้นได้ เป็นเงินที่ได้จากคนที่เข้ามาซื้อ LTF ช่วงปลายปีเพื่อหวังผลในการลดหย่อนภาษีและได้กำไรจากปีภาษีที่เร็วขึ้นนับเป็น 1 ปีภาษี
ทั้งนี้ในวงการตลาดทุน นักวิเคราะห์ และกองทุนรวม ประเมินกันว่า สำหรับช่วงที่เหลือโค้งท้ายเดือนธันวาคม 2560 นี้ จะมีเม็ดเงินจากคนที่มาซื้อ LTF ส่งท้ายปีในราว 25,000-30,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ยังมีความเชื่อในอีกด้านหนึ่งเช่นกันว่า แรงส่งจากLTF/RMF ในปีนี้อาจจะมีพลังไม่เพียงพอที่จะดันหุ้นขึ้นไปได้ไหลมากนัก เนื่องจากมีคนจำนวนหนึ่งที่ลงทุนซื้อ LTF มาก่อนหน้านี้แล้วเงินครบกำหนดเท่ากับต้องมีการนำเงินส่วนหนึ่งมาจ่ายให้คนกลุ่มนี้ เนื่องจากคนกลุ่มนี้อาจตัดสินใจไม่ซื้อกอง LTF ใหม่อีก และหันไปหาวิธีลดหย่อนภาษีรูปแบบอื่นแทน เนื่องจากปีนี้จะเป็นปีที่ คนซื้อ LTF จะเป็นปีแรกที่นักลงทุนต้องถือครอง LTF เป็นเวลาที่ยาวนานขึ้น คือจาก 5 ปี เป็น 7 ปีปฏิทิน ขณะที่ส่วนที่เป็นเม็ดเงินใหม่สำหรับซื้อ LTF ก็อาจไม่ได้มากเพราะปี 2560 ยังไม่ใช่ปีที่มนุษย์เงินเดือนได้โบนัสปลายปีแบบอู้ฟู่ ในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้
บล.เมย์แบงก์กิมเอ็งระบุว่า ดัชนีที่แกว่งตัวอยู่บริเวณ 1700 จุด อาจทำให้นักลงทุนตัดสินใจยากขึ้น ในการจะซื้อหรือไม่ซื้อกองทุน LTF แต่ก็ยังมองว่าแม้ LTF มีเงินน้อยลงแต่ก็น่าจะเพียงพอต่อการพยุงภาพรวมตลาดได้บ้าง
นอกจากนี้สิ่งที่จะทำให้นักลงทุน ต้องพิจารณาว่าหุ้นจะขึ้นไปได้ไกลแค่ไหนในเวลาที่เหลือของปี คือ การซื้อขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งคาดว่า นักลงทุนต่างชาติจะไม่กลับมาซื้อหุ้นในช่วงทีเหลือหลังจากที่ขายกันมาอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา แต่เขาจะ พักพอร์ต กันหมดเนื่องจากเป็นช่วงวันหยุดคริสต์มาส ขณะที่ยังมีเรื่องของ การประชุมเฟดที่จะขึ้นดอกเบี้ย เป็นเงาปกคลุมอยู่ แม้ตลาดหุ้นไทยซึมซับรับรู้ข่าวเฟดขึ้นดอกเบี้ยในรอบการประชุมส่งท้ายปี 13-14 ธันวาคมกันไปหมดแล้ว แต่ไม่แคล้วมีผลเชิงจิตวิทยา... ส่วนในปีหน้า 2561 ก็จะเป็นปีที่ดอกเบี้ยขยับขึ้นเช่นกัน แม้จะบอกว่าค่อยๆขึ้น โดยประมาณว่าจะขึ้นราว 3-4 ครั้งด้วยกัน
ขณะที่ บล.แอพเพิล เวลธ์ มีความเชื่อมั่นมากๆว่า SET เดือนธันวาคม ยังมีโอกาสแตะ 1,750 จุด เป็นการฮึดเฮือกสุดท้ายจากพลังของ LTF–RMF ที่คาดว่าจะมีเข้ามาซื้อหุ้นโค้งสุดท้ายปลายปี กว่า 3 หมื่นล้านบาท
นายอภิชัย เรามานะชัย รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ แอพเพิล เวลธ์ เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยในเดือน ธํนวาคม 2560 มีแนวโน้มแกว่งตัวขึ้นในกรอบ 1,690 –1,730 จุด และมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปทดสอบระดับ 1,750 จุดได้ นอกจากจากแรงหนุนของLTF RMF ที่คาดว่าจะมีประมาณ 3 หมื่นล้านบาท แล้วจะยังได้แรงหนุนจากโมเมนตัมกำไรในไตรมาสที่ 4/2560 ของบริษัทจดทะเบียนที่มีโอกาสฟื้นตัวโดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มพลังงาน กลุ่มค้าปลีก ท่องเที่ยวและสายการบิน
“กลุ่มธนาคารพาณิชย์ คาดสินเชื่อในไตรมาส 4 นี้มีโอกาสขยายเร็วขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยวางเป้าสินเชื่อไว้ที่ 4 %,กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ยังได้แรงหนุนจากแนวโน้มราคาน้ำมัน WTI ที่ยังทรงตัวเหนือระดับ 55ดอลลาร์/บาร์เรล , กลุ่มสินค้าบริโภคและค้าปลีกได้แรงหนุนจากมาตรการช้อปช่วยชาติ ส่วนกลุ่มท่องเที่ยวและสายการบินได้แรงหนุนจากคาดจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปีนี้ 35.5 ล้านคน และปีหน้าคาดที่ 38 ล้านคน” นายอภิชัยกล่าว
ส่วนปัจจัยต่างประเทศ การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) วันที่ 13 ธ.ค. น่าจะปรับดอกเบี้ยขึ้น 1.25 –1.50 % ขณะแนวโน้มเงินเฟ้อนั้นความเห็นของคณะกรรมการยังค่อนข้างแตกต่างกัน แต่จากดัชนีการใช้จ่ายส่วนบุคคล ( PCE ) ซึ่งเป็นดัชนีที่ใช้วัดเงินเฟ้อ ต.ค. คาดอยู่ที่1.4 % ยังต่ำกว่าเป้าหมายที่ 2 % ส่งผลให้ตลาดยังคาดการณ์เดิมคือคาดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐในปีหน้า อีก 3 ครั้ง ส่วน ECB นั้นจะเริ่มปรับลดวงเงิน QE ปีหน้าลงเหลือ 3 หมื่นล้านยูโร/เดือน ตั้งแต่ ม.ค. –ก.ย. 61 แต่หากเศรษฐกิจยูโรมีสัญญาณอ่อนตัว ECB ยังพร้อมจะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป ในส่วนเงินเฟ้อยูโรโซนปีหน้าคาดยังชะลอตัวที่ระดับ 1.2%
ส่วนการประชุมโอเปกกลุ่มโอเปกและนอกโอเปกตกลงขยายระยะเวลาลดกำลังการผลิตจำนวน 1.8 ล้านบาร์เรล/วัน ออกไปอีก 9 เดือน สิ้นสุดมาตรการในช่วงสิ้นปี 2561 โดยไนจีเรียและลิเบียจะไม่เพิ่มกำลังการผลิตในช่วงดังกล่าว และจะมีการพิจาณาทบทวนมาตรการอีกครั้งในช่วง มิ.ย. 61 หากมาตรการส่งผลให้ราคาน้ำมันเพิ่มตัวขึ้นร้อนแรงเกินไป จากข้อตกลงดังกล่าวจะส่งผลบวกต่อแนวโน้มราคาน้ำน WTI ในช่วง Q4 นี้ – Q1/61 สามารถทรงตัวเหนือระดับ 52 – 55 ดอลลาร์/บาร์เรลและอาจส่งผลให้ราคา Soft Commodity ปรับเพิ่มขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันได้
ทีม บล.แอพเพิล เวลธ์ แนะกลยุทธ์การลงทุน หากดัชนี SET ผ่านแนวต้าน 1,730 จุดพร้อมปริมาณการซื้อขายสูงกว่า 6–7 หมื่นล้านบาท ให้เพิ่มพอร์ตโดยเป้าหมายแนวต้านถัดไปที่ 1,750 – 1,780 จุด กลับกันหากดัชนี SET หลุดแนวรับ 1,670 – 1,680 จุด ให้ลดพอร์ตลง เนื่องจากดัชนีมีความเสี่ยงจะปรับฐานลงสู่ระดับ 1,620 –1,650 จุดได้
เช่นเดียวกับ บล.ทรีนีตี้ ที่ระบุว่า SET Index เดือนธันวาคม แกว่งตัวในกรอบ 1,680 – 1,750 จุด
โดยมีเงิน LTF ราว 20,000 ล้านประคองดัชนี
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ เปิดเผยกลยุทธ์การลงทุนในช่วงเวลาที่เหลือของเดือนธันวาคมปี 2560 โดยมีปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดดังต่อไปนี้ คือ
1) ความคืบหน้าของมาตรการปฏิรูปภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งจะต้องดูว่าร่างกฎหมายฉบับที่เห็นชอบจากสภาล่างจะถูกเห็นชอบจากสภาสูงหรือจะถูกแก้ไขใหม่ ซึ่งหากถูกแก้ไขก็จะต้องดูว่าสภาล่างมีมติเห็นชอบด้วยหรือไม่ ตราบใดที่ยังคงเกิด Gridlock เช่นนี้ คาดว่าจะเป็นปัจจัยกดดันเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในระยะสั้น แต่จะเป็นผลบวกต่อตลาดหุ้นและสกุลเงินของประเทศเกิดใหม่ นอกจากนั้นต้องติดตามการเจรจาต่อรองปรับขึ้นเพดานหนี้สาธารณะของสหรัฐฯในช่วงกลางเดือนธันวาคม ซึ่งอาจต้องแลกด้วยการปรับลดการใช้จ่ายภาครัฐลงอีกในอนาคต หากการเจรจามีความยุ่งเหยิง จะเป็นปัจจัยกดดันต่อเนื่องต่อเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ได้เช่นกัน
2) การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ 13 ธันวาคม คาดว่า Fed จะมีมติขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจาก 1.00-1.25% เป็น 1.25-1.50% แต่เป็นสิ่งที่ตลาดคาดการณ์อยู่แล้ว
3) ตัวเลขภาคการผลิตทั่วโลก ซึ่งหากเริ่มชะลอลงจะเป็นปัจจัยกดดันระยะสั้นต่อ ราคาโลหะอุตสาหกรรม ราคาหุ้นกลุ่มวัฏจักร และ ดัชนีค่าระวางเรือ
4) การปรับเพิ่มประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจของไทย ภายหลังจากที่ GDP ไตรมาส 3/60 ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด รวมถึงการปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยจากสำนักวิจัยต่างชาติ รวมถึงการปรับเพิ่มคำแนะนำในหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินและค้าปลีก
5) แรงซื้อสุทธิของนักลงทุนสถาบันในประเทศที่คาดว่าจะเข้ามาอีกประมาณ 20,000 ล้านบาทในช่วงที่เหลือของปีนี้ จากเม็ดเงิน LTF/RMF เป็นสำคัญ น่าจะเป็นปัจจัยช่วยประคับประคองตลาดได้เป็นอย่างดี