top of page
312345.jpg

ไม่ต้องทำงานหนักก็รวยได้??


ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือ ถ้ามีเวลามักจะแวะร้านหนังสือ หาหนังสือที่ถูกใจกลับไปอ่านเวลาว่าง แต่พักหลังนี้ มักจะเข้าไปเดินดูหนังสือที่เขาวางขายแล้ว กลับบ้านมือเปล่า ไม่ได้ซื้อหนังสือติดมือกลับมา เพราะรู้สึกว่านอกจากจะราคาแพงขึ้นแล้ว หนังสือส่วนมากยังสอนให้คนเกิดกิเลส เชื่อว่าคนเราสามารถที่จะร่ำรวยเป็นเศรษฐีเหมือนคุณธนินท์ หรือคุณเจริญได้โดยไม่ต้องลงแรงทำงานหนัก ประเภทเป็นเศรษฐีได้ง่ายกว่าที่คุณคิด พิชิตเงินพันล้านง่ายในชั่วพริบตา แจ๊กหม่าทำได้ คุณก็ทำได้ อะไรทำนองนั้น

มาถึงตรงนี้ต้องหมายเหตุไว้หน่อยว่า ถ้าเผอิญชื่อหนังสือที่ผมตั้งขึ้นเหล่านี้เกิดไปตรงกับชื่อหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งที่วางขายอยู่ก็ขออภัยด้วย เพราะไม่ได้ตั้งใจจะหยิบหนังสือเล่มใดขึ้นมาเป็นตัวอย่างวิพากษ์วิจารณ์

ที่ผมพูดถึงหนังสือประเภทนี้อาจจะเป็นเพราะผมเป็นคนที่เกิดในยุคหลังสงคราม ที่เขาว่ากันว่าเป็นยุคของคนที่เกิดมาทำงานหนักเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัว ไม่สามารถใช้ชีวิตหลั่นล้าเหมือนคนยุคหลังอีกหลายยุคที่เกิดมาท่ามกลางความเพียบพร้อมที่คนยุคหลังสงครามทำไว้ให้ ผมจึงไม่เชื่อว่าคนเราจะสามารถสร้างเนื้อสร้างตัวได้โดยไม่ต้องทำงานหนักเหมือนชื่อหนังสือประเภทนี้

ผมเชื่อว่า ไม่ว่าคนเจน X เจน Y เจน Z เจน C หรือเจนอะไรต่อไปในอนาคต ผู้ที่จะสร้างอนาคต สร้างฐานะของตัวเองได้ จะต้องเป็นคนที่ทำงานหนัก แม้ว่าจะเป็นงานคนละประเภทกับงานของคนในยุคหลังสงครามที่เป็นงานด้านการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมออกไปจำหน่าย แต่คนในยุคหลังอาจทำงานที่เกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีและไอที มีระบบอินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือสื่อสาร มีความคิดสร้างสรรค์ที่จะทำสิ่งใหม่ๆ สร้างนวัตกรรมใหม่ มีความเป็นอิสระสูง ไม่ชอบเป็นลูกจ้างเหมือนคนยุคหลังสงคราม

แน่นอนว่า ในกลุ่มคนจำนวนมาก อาจมีบางรายที่ร่ำรวยจากการลงทุนในภาคธุรกิจการเงิน เช่น การลงทุนในตลาดหุ้น เลยทำให้เกิดความเชื่อว่าคนเราจะร่ำรวยได้โดยไม่ต้องทำงานหนัก แต่ความจริงก่อนที่จะประสบความสำเร็จในการลงทุน นักลงทุนประเภทนี้ส่วนใหญ่ต้องทำงานหนัก ศึกษาหลักการพื้นฐานในการลงทุน ศึกษาพฤติกรรมของตลาดหุ้น ศึกษาผลประกอบการของบริษัทและเศรษฐกิจในภาพรวม เพื่อเป็นพื้นฐานตัดสินใจลงทุน และที่สำคัญคือต้องทำงานหนักเพื่อประเมินความเสี่ยงในการลงทุน

ส่วนนักลงทุนประเภทที่เชื่อเสียงกระซิบผีบอกโดยไม่ทำการบ้าน ที่ถูกเรียกว่า แมงเม่า นอกจากจะลงทุนเพราะความโลภอยากรวย เพราะเพื่อนแมงเม่าชอบให้ลงทุนเวลามีกำไร และเพิ่งอ่านหนังสือประเภทรวยง่ายในพริบตานั้น เมื่อไรที่ตลาดอยู่ในช่วงขาลงหรือขยับออกข้างซ้ายทีขวาที ก็มักจะตกเป็นเหยื่อของนักปั่นหุ้น เพราะขาดการทำงานหนัก เตรียมความพร้อมก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน

นอกจากเรื่องของการลงทุนในตลาดหุ้นที่ถูกสร้างภาพให้เป็นเหมือนเครื่องเอทีเอ็ม กดปุ่มแล้วมีเงินไหลออกมาแล้ว คนรุ่นใหม่ที่ไม่ต้องการเป็นลูกจ้างใคร และออกมาประกอบธุรกิจส่วนตัวที่เรียกว่า สตาร์ตอัพ นั้น ผู้ที่จะประสบความสำเร็จต้องเป็นคนที่ทำงานหนักกว่าคนรุ่นเก่าที่เป็นลูกจ้างด้วยซ้ำไป เพราะจะต้องหาเงินมาลงทุนเอง หาวิธีผลิตสินค้าหรือบริการใหม่ๆ ที่มีคุณภาพสูงตรงกับความต้องการของตลาด ต้องทำการตลาดเอง ทำบัญชีเอง มีน้อยรายที่สามารถสร้างแบรนด์สินค้าของตนเองเพื่อให้เป็นอิสระจากการถูกเอารัดเอาเปรียบจากเจ้าของแบรนด์สินค้าที่จ้างให้ผลิตแบบรับจ้างผลิต เถ้าแก่น้อยที่ผมรู้จักหลายคนทำงานแบบไม่มีเวลาหรือวันหยุดเพื่อส่งสินค้าให้ลูกค้า และหาเงินมาจ่ายดอกเบี้ยธนาคาร ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้หาได้แตกต่างไปจากพฤติกรรมของเถ้าแก่ในยุคหลังสงครามไม่

เพราะฉะนั้นจึงเชื่อว่าการทำงานหนักเป็นหัวใจของความสำเร็จในการสร้างฐานะของคนทุกยุค ยิ่งในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีก้าวหน้า เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว คนที่ทำงานหนักเท่านั้นจึงจะสามารถรับความเปลี่ยนแปลงได้ทันต่อเหตุการณ์

การทำงานหนักจึงไม่ได้มีความหมายแค่การลงมือทำงาน ใช้แรงงานในสำนักงานหรือโรงงานอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่หมายถึงการทำงานโดยใช้สมอง ใช้จินตนาการ ใช้วิชาความรู้และประสบการณ์ในการประกอบอาชีพที่ใดก็ได้ไม่จำกัดสถานที่

มีคำพูดที่นิยมพูดว่า คนที่ทำงานหนักสู้คนที่ทำงานแบบใช้ปัญญาไม่ได้ (Don’t work hard; work smart) เลยเอามาตีความว่าคนที่จะประสบความสำเร็จไม่ต้องทำงานหนัก แต่ให้ทำงานสมาร์ท ซึ่งไปแปลต่อว่าให้ทำงานน้อยๆ หรือทำงานอย่าให้เกินเงินเดือนที่ได้รับ อย่างที่สมัยหนึ่งมีการพูดเปรียบเปรยว่า หลับๆ ตื่นๆ หมื่นห้า เดินไปเดินมาห้าพัน ทำงานทั้งวันพันห้า ถ้าทำงานเกินเงินเดือนถือว่าขาดทุน ไม่สมาร์ท

ความจริง ผมเชื่อว่าคนที่ทำงานหนัก หรือ work hard นั้น ส่วนใหญ่เป็นคนที่เอาใจใส่และรับผิดชอบในหน้าที่การงานอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจึงพยายามที่จะทำงานให้มีประสิทธิภาพที่สุด ไม่ใช่เพื่อลดชั่วโมงการทำงาน แต่เพื่อใช้เวลาทำงานให้เกิดผลงานมากขึ้นกว่าเดิม เช่น ลดขั้นตอนในการทำงาน ปรับปรุงวิธีทำงาน ฯลฯ แต่คนที่ไม่ทำงานหนักมีโอกาสน้อยที่จะ work smart เพราะไม่มีประสบการณ์จากการทำงานจริงจนทราบปัญหาที่ควรจะปรับปรุงให้กระบวนการ หรือ process ในการทำงานกระชับ สั้น และมีประสิทธิภาพที่สุด เหมือนคนที่ work hard

ผมจึงเชื่อว่า คนที่ work hard ส่วนใหญ่เป็นคนที่ work smart แต่ไม่แน่ใจว่า คนที่บอกว่า Don’t work hard แต่ให้ work smart นั้น เข้าใจความหมายที่แท้จริงหรือไม่ หรือแค่หลีกเลี่ยงการทำงานตามหน้าที่ความรับผิดชอบ โยนงานของคนอื่น โดยอ้างว่า work smart

สรุปคือ ผมไม่เชื่อว่าคนเราจะร่ำรวย สร้างฐานะได้โดยไม่ทำงานหนัก ไม่ว่าจะเป็นคนเจนไหน แต่เชื่อว่าความสำเร็จในการทำงานคือการทำงานหนักและรู้จักพัฒนาวิธีการทำงานให้มีประสิทธิภาพที่สุด

อย่าไปเสียเวลาอ่านหนังสือที่สอนให้เชื่อว่าไม่ต้องทำงานก็รวยได้ คนที่รวยเพราะเก็งกำไรมีมาก แต่คนที่จนเพราะเก็งกำไรมีมากกว่าหลายเท่าครับ

 

Picture Credit: Pixabay

184 views
bottom of page