top of page
379208.jpg

บทเรียนที่ลืมแล้วจากวิกฤตต้มยำกุ้ง


ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านคอลัมน์นี้จำนวนไม่น้อย คงได้ผ่านวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งที่เกิดขึ้นในเดือนกรกฎาคม 2540 จากการที่รัฐบาลในขณะนั้นปล่อยให้ค่าเงินบาทลอยตัวจากที่เคยกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนไว้ที่ 25 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทยได้ขายเงินดอลลาร์ที่ถืออยู่ในกองทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีอยู่ออกไปเพื่อรักษาค่าเงินบาทไว้จนเกือบจะหมด

ผลคือหลังจากนั้นประมาณ 6 เดือน เงินบาทได้อ่อนค่าจาก 25 บาทลงไปถึงจุดต่ำสุดประมาณ 52 บาทต่อดอลลาร์ แล้วมาทรงๆ ตัวอยู่ที่ประมาณ 40-45 บาท ทำให้ธนาคารและบริษัทขนาดใหญ่ที่กู้เงินดอลลาร์หรือเงินตราต่างประเทศสกุลอื่น เช่น เงินเยนหรือเงินสวิสฟรังก์ที่อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าดอกเบี้ยเงินบาทมาเป็นเงินลงทุนบ้าง หรือเก็งกำไรจากอัตราดอกเบี้ยบ้าง มีภาระหนี้สินเพิ่มขึ้นมากมายอย่างกะทันหันจนไม่สามารถจะชำระหนี้ได้ ทั้งยังถูกเร่งรัดให้ชำระหนี้จากเจ้าหนี้ต่างประเทศที่ขาดความเชื่อมั่นในสถานการณ์เศรษฐกิจของไทย ทำให้เกิดปัญหาการขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรงทั้งระบบ เริ่มจากภาคการเงินที่มีการปิดสถาบันการเงิน 42 แห่งในเดือนสิงหาคม ปี 2540 กับอีก 14 แห่งก่อนหน้านี้ ทำให้ลูกค้าในภาคการผลิตที่เคยใช้สินเชื่อจากสถาบันการเงินเหล่านั้นถูกตัดเส้นเลือดหล่อเลี้ยง ไม่มีเงินหมุนเวียนเพื่อใช้ในธุรกิจตามปกติ และไม่สามารถชำระหนี้ได้แม้ว่าธุรกิจที่ดำเนินการอยู่จะดำเนินอยู่ตามปกติไม่ได้มีปัญหา

หลังจากนั้น ธนาคารหลายแห่งถูกธนาคารแห่งประเทศไทยเข้าไปลดทุนของผู้ถือหุ้นเดิม เพราะปัญหาหนี้สินที่เพิ่มขึ้นทำให้ไม่สามารถดำรงสัดส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงได้ตามที่กฎหมายกำหนด นอกจากนั้น ยังเกิดปัญหาขาดความเชื่อมั่นของผู้ฝากเงินที่ต้องการถอนเงินฝากออกไป จนทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า BANK RUN หลังจากการลอยตัวค่าเงินบาทและการปิดสถาบันการเงินหลายแห่ง เพราะมีปัญหาหนี้ NPL เพิ่มขึ้น

ทั้งหลายทั้งปวงที่เล่ามา ทำให้เศรษฐกิจไทยประสบปัญหาวิกฤตอย่างรุนแรง ใกล้ล้มละลาย ต้องขอให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือไอเอ็มเอฟเข้ามาช่วยให้เงินกู้มาใส่ไว้ในกองทุนสำรองระหว่างประเทศจำนวนประมาณ 17,000 ล้านเหรียญ และจากธนาคารโลกและธนาคารพัฒนาเอเชียอีก 13,200 ล้านเหรียญ เพราะตอนนั้นธนาคารแห่งประเทศไทยได้ใช้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีอยู่ประมาณ 40,000 ล้านเหรียญไปจนเหลือแค่ 158 ล้านเหรียญเท่านั้น

ทั้งไอเอ็มเอฟและธนาคารโลกให้เงินกู้มาจริง แต่ได้ตั้งเงื่อนไขที่เข้มงวดให้รัฐบาลไทยปฏิบัติตาม ไอเอ็มเอฟส่งทีมงานเข้ามาคุมการทำงานของกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยอย่างใกล้ชิด ที่หลายท่านกล่าวว่าวิกฤตเศรษฐกิจรอบนั้นทำให้ประเทศไทยเสียเอกราชทางเศรษฐกิจคงไม่ผิด เพราะเผอิญช่วงนั้นผมได้รับหน้าที่ให้เข้าไปดูแลธนาคารแห่งหนึ่งที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเข้าไปยึดจากผู้ถือหุ้นเดิม ไม่ว่าจะทำอะไรในระดับนโยบาย จะต้องชี้แจงตอบคำถามฝรั่งเด็กๆ ที่ไอเอ็มเอฟส่งเข้ามากำกับดูแลการทำงานของทางการ และมักจะได้รับแจ้งจากทางการว่าให้รอไอเอ็มเอฟเห็นชอบก่อนจึงจะทำได้ สร้างความอึดอัดใจให้กับตัวเองพอสมควร เพราะเด็กฝรั่งบางคนดูเหมือนจะเพิ่งจบมหาวิทยาลัยมาหมาดๆ แต่ทำตัวเหมือนเป็นผู้รู้การเงินและการธนาคารในประเทศไทยทุกเรื่อง

อย่างไรก็ดี หลังจากนั้น 2-3 ปีเศรษฐกิจไทยก็เริ่มฟื้นตัว สาเหตุเพราะการส่งออกขยายตัวอย่างรวดเร็วเนื่องจากการลดค่าเงินบาท และการที่เศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วงขยายตัว ปริมาณความต้องการพืชผลและราคาผลผลิตทางการเกษตรสูงขึ้น ส่วนสถาบันการเงินแข็งแกร่งขึ้นเพราะการช่วยเหลือของธนาคารแห่งประเทศไทยและการให้ต่างชาติเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้น ส่วนบริษัทในภาคการผลิตที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตในปี 2540 ถ้าไม่ได้รับการปรับโครงหนี้ก็จะถูกขายให้บริษัทต่างชาติหรือบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างๆ ทำให้สามารถดำเนินกิจการต่อไปตามปกติ ผู้คนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการตกงานบ้าง ลดเงินเดือนบ้าง จนต้องนำเสื้อผ้า สิ่งของเครื่องใช้ ใส่ท้ายรถมาเปิดขายในลานจอดรถ ก็เริ่มคุ้นเคยกับชีวิตใหม่ และเริ่มมีงานทำเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว

ตรงนี้แหละครับที่อยากจะพูดถึง เพราะพอเศรษฐกิจฟื้นตัว เพราะโชคดีที่การส่งออกขยายตัวเนื่องจากเงินบาทลดค่าและเศรษฐกิจโลกขยายตัว เนื่องมาจากระบบโลกาภิวัตน์และการสร้างฟองสบู่ในบางภูมิภาคของโลก เราก็ดูเหมือนจะลืมบทเรียนที่เราได้รับและเคยตั้งปณิธานเอาไว้ว่า หลังจากวิกฤตต้มยำกุ้งแล้ว เราจะไม่ยินดีปรีดาปราโมทย์กับเงินร้อนที่ไหลเข้ามาแสวงหากำไรในประเทศ แต่เราจะส่งเสริมให้มีการลงทุนระยะยาวในภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง เราจะพยายามสร้างเศรษฐกิจให้ยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตัวเองโดยพัฒนาการผลิตให้มีประสิทธิภาพในการแข่งขัน เราจะหาวิธีการสกัดกั้นการไหลเข้ามาเก็งกำไรของเงินร้อนที่ทำให้เศรษฐกิจไทยเกิดวิกฤตรุนแรง ฯลฯ ถ้าท่านมีเวลาลองค้นดูว่ามีใครต่อใครบ้างที่เคยแสดงวิสัยทัศน์ไว้หลังวิกฤตต้มยำกุ้ง แล้วจะแปลกใจว่าเวลาทำให้คนพูดและคนฟังลืมสิ่งที่พูดและที่รับฟังอย่างไม่น่าเชื่อภายในระยะเวลาไม่ถึง 30 ปี

อย่างที่ทราบว่าปัญหาของเศรษฐกิจไทยทุกวันนี้คือการขาดความสามารถในการแข่งขันในระดับสากล โครงสร้างเศรษฐกิจต้องพึ่งพาการส่งออกเหมือนก่อนที่จะเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นอาจเป็นเพราะเราลืมบทเรียนที่ได้รับง่ายเกินไป เนื่องจากรัฐใช้เงินกว่า 5 ล้านล้านบาทเข้าไปกอบกู้ภาคการเงิน แต่ไม่ได้มีมาตรการเข้มข้นอย่างไรที่จะกอบกู้ภาคการผลิตที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการเงินที่ตนเองไม่ได้ก่อให้เกิดขึ้นโดยตรงเหมือนภาคการเงิน ผู้ประกอบการต้องดิ้นรนขวนขวายช่วยตนเองเพื่อความอยู่รอดบ้าง ไม่รอดบ้าง ทำให้ผู้ประกอบการในภาคการผลิตที่แท้จริงจำนวนมากเกิดความท้อแท้และ “เข็ด” ที่จะลงทุนลงเงินจำนวนมากพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต คงดำเนินกิจการไปตามกำลังการผลิตบนสายการผลิตเดิม ทำให้สินค้าที่ผลิตออกมาไม่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งในต่างประเทศที่มีการลงทุนใหม่ทั้งเครื่องจักรและเทคโนโลยีการผลิตที่ผู้ประกอบการไทยไม่อยากจะลงทุน บางท่านบอกว่าไม่อยากเป็นนักอุตสาหกรรม สู้ไปลงทุนในตลาดหุ้นดีกว่า ไม่เหนื่อยและออกตัวได้ง่ายกว่าและให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า

พูดถึงตรงนี้ก็ได้แต่หวังว่านโยบายทำประเทศให้เป็นประเทศ 4.0 ของรัฐบาล คงจะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ ก็ขอเอาใจช่วยครับ

113 views
bottom of page