top of page
327304.jpg

“สมพร” เปิดใจ ..ชูความจริงสู้ โต้กระแสปลดผู้บริหาร TIP


“ผมไม่มีอำนาจอะไรไปสู้กับใครทั้งนั้น แค่ยืนตามหลักความเป็นจริง อธิบายตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ผมไม่ต้องตอบโต้ใคร เพราะทุกคนจะหาข้อเท็จจริงได้”

นายสมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทิพยประกันภัย กล่าวกับ “ดอกเบี้ยธุรกิจ” ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เมื่อถูกถามถึงกรณีที่กำลังเป็นประเด็นที่มีกระแสข่าวว่าเขากำลังถูกกดดันให้เขาออกจากตำแหน่งบริหารทั้งหมดในทิพยประกันภัย และมีกระแสข่าวว่ามีการดำเนินการเพื่อจากผู้ถือหุ้นใหญ่ให้บรรจุวาระการพิจารณาความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งของเขาเข้าในวาระที่ประชุมผู้ถือหุ้นใหญ่สามัญประจำปี ในวันที่ 24 เมษายน 2560 นี้

ทั้งนี้ นายสมพร อธิบายอย่างชัดเจนว่า เขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่า ใครที่เป็นผู้เดินเรื่องเพื่อพิจารณาให้เขาออกจากตำแหน่งบริหารโดยพยายามจะเอาเรื่องเข้าที่ประชุมผู้ถือหุ้นตามที่ปรากฏเป็นข่าวออกไปนั้น ว่าจะทำอย่างนั้นเพื่ออะไร

“ผมไม่รู้ว่าจะทำอย่างนั้นทำไม ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำอย่างนั้นเลย เพราะถ้าจะปลดผมจริงๆ ก็ไม่ต้องผ่านการประชุมผู้ถือหุ้น ดำเนินการตั้งแต่การประชุมบอร์ดบริษัทก็ได้”

ตามที่ “ดอกเบี้ยธุรกิจ” ได้รายงานข่าวในสัปดาห์ที่ผ่านมาถึงความเคลื่อนไหวที่ดูเป็นข้อน่าสังเกต

กลายเป็นเรื่องชวนคิด ถึงความไม่ปกติที่กำลังเกิดขึ้นใน บริษัท ทิพยประกันภัย ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ใช้ชื่อย่อในกระดานว่า TIP ว่ากำลังมี “อะไรในกอไผ่” โดยพบว่า กลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ได้ปรากฏรายชื่อผู้ถือหุ้นสำคัญรายชื่อหนึ่งของ TIP คือ “กองทุนวายุภักษ์” ได้อันตรธานหายไป อย่างไร้ร่องรอย แบบที่ไม่มีใครรู้ตัว หรือเอะใจมาก่อนว่าจะมีการเทขายหุ้นทิ้งหมดเกลี้ยงไม่เหลือหลอ ขายแบบที่เรียกว่า “เททิ้ง”

ทั้งนี้กองทุนวายุภักษ์ ซึ่งก็คือกองทุนขนาดใหญ่ของทางการ กระทรวงการคลังจัดตั้งขึ้นเมื่อครั้งเกิดวิกฤต เอามาช่วยอุ้มตลาดหุ้น ผู้บริหารดูแลกองทุนนี้ก็เกี่ยวข้องกันกับทางการ ไม่ว่าจะเป็น บลจ.เอ็มเอฟซี หรือ บลจ.กรุงไทย โดยได้มีส่วนเข้ามาถือหุ้น อยู่ใน TIP อยู่ในสัดส่วนราว 1% กว่า ในขณะที่ผู้ถือหุ้นใหญ่อื่นๆ ของ TIP ก็ล้วนแต่เป็นการถือหุ้นโดยกลุ่มทางการ ไม่ว่าจะเป็น ธนาคารออมสิน (11-12%) ธนาคารกรุงไทย(10%) กบข.(7-8%) ปตท. (13-14%)

ต่อมา ยังพบด้วยว่าไม่เพียง กองทุนวายุภักษ์เท่านั้น แม้แต่แบงก์กรุงไทยก็มีการรินขายหุ้น TIP ออกมาด้วย ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องบังเอิญประจวบเหมาะมากไปหน่อย อีกทั้งคนรักกันชอบกัน จะทำอะไรก็น่าจะบอกกล่าวกันหน่อย แต่จู่ๆ วายุภักษ์ และแบงก์กรุงไทย ขายหุ้นโดยไม่บอกไม่กล่าวแบบนี้จึงชวนให้สงสัยได้

“คนรักกัน ต้องมาระแวงกันเพราะเกิดกรณีอะไรแบบนี้ก็มีมานักต่อนัก การทำอะไรโดยไม่สะกิดบอกเพื่อนสักนิด มันชวนให้สงสัยเหมือนกันว่าทำทำไม” แหล่งข่าวตั้งข้อสังเกตกับ “ดอกเบี้ยธุรกิจ”

ขณะเดียวกันนี้ก็มีกระแสข่าวกรณีการกดดันผู้บริหารบริษัท ทิพยประกันภัย นายสมพร สืบถวิลกุล ว่าผู้ถือหุ้นใหญ่ต้องการปลดเขาออกจากตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการใหญ่ และตำแหน่งอื่นๆทั้งหมด ในบริษัท ทิพยประกันภัย และอื่นๆ ซึ่งกระแสข่าววงในเล็ดรอดออกมาว่า ทางบริษัท ปตท. ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ได้พยายามจะเติมวาระการประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปีของบริษัท ทิพยประกันภัย เพื่อให้มีวาระการพิจารณาคุณสมบัติ และถอดถอนนายสมพรออกจากตำแหน่ง เข้าสู่วาระการประชุมผู้ถือหุ้นให้ได้ แต่ความเป็นจริงก็คือ การการประชุมผู้ถือหุ้น บริษัทจะต้องส่งวาระการประชุมให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งบริษัท ทิพยประกันภัยได้ส่งวาระไปเรียบร้อยแล้ว นั่นหมายความว่า จะมีการแก้ไขใดๆอีกไม่ได้ ซึ่งกระแสข่าวเปิดเผยว่า กลับมีความพยายามในการให้แก้ไขเติมวาระดังกล่าวให้ได้ และอาจใช้วิธีเติมเรื่องเข้าไปใน วาระอื่นๆ ทำเอาเจ้าหน้าที่ที่ทำงานเรื่องนี้อลหม่านกันไปพอสมควร

การกำหนดวาระการประชุม ความพยายามในการปลดนายสมพรนี้ มาประจวบเหมาะพอดีกันกับ การขายหุ้นของกองทุนวายุภักษ์ และแบงก์กรุงไทย ทำให้ยิ่งคิดไปได้ว่า... นี่คือคนละเรื่องเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม จากการสอบถามไปทาง กองทุนวายุภักษ์ ได้มีการชี้แจงตอบกลับมาว่า เป็นเรื่องบังเอิญมากกว่า ที่กองทุนขายหุ้นในจังหวะที่กำลังมีเรื่องนี้พอดี เพราะ กองทุนวายุภักษ์ ได้รับการบ้านมานานแล้วว่า ให้ดูแลบริหารจัดการสัดส่วนของหุ้นในพอร์ต โดยเฉพาะหุ้นที่โอนมาจากกระทรวงการคลัง เช่น บริษัท ทิพยประกันภัย เป็นหุ้นที่ไม่มีสภาพคล่อง จึงมีการเสนอให้ขายออกจากพอร์ต และบังเอิญเพิ่งมีการอนุมัติให้ขายได้ ในส่วนของ แบงก์กรุงไทยก็เช่นกัน มีการอธิบายว่า เนื่องจาก กรุงไทย มีสภาพเป็นแบงก์พาณิชย์ ในการดูแลของแบงก์ชาติ ดังนั้น แบงก์ชาติ จึงสั่งให้ลดสัดส่วนการถือหุ้นถือมากกว่า 10% จึงจำเป็นที่จะต้องขายหุ้นออกมา ...พอดี๊ พอดีกันเลย

ในส่วนของการขายหุ้นทิพยประกันภัยจนหมดพอร์ตของกองทุนวายุภักษ์นี้ นายสมพร สืบถวิลกุล ได้กล่าวกับ “ดอกเบี้ยธุรกิจ” ว่า เขาไม่รู้รายละเอียดเช่นกันว่ากกองทุนวายุภักษ์ขายหุ้น

“ผมมองว่าเป็นเรื่องปกติของการลงทุนมากกว่า ข้อเท็จจริงก็คือตลาดก็ไม่รู้ว่ามันมาจากสาเหตุอะไร”

สำหรับประเด็นที่ว่า ปตท.ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ต้องการปลดเขานั้น ตามที่นายสมพรกล่าวข้างต้นว่า ไม่จำเป็นที่จะต้องบรรจุเข้าวาระที่ประชุม แค่ระดับบอร์ดก็ทำได้แล้วนั้น ปรากฏว่า ที่ผ่านมา บอร์ดของบริษัท ทิพยประกันภัย ได้พิจารณาเรื่องนี้ไปแล้ว ซึ่งถ้าดำเนินการตามขั้นตอนเช่นนั้นก็หมายความว่า มันได้ผ่านขั้นตอนมาเรียบร้อยแล้ว นั่นคือบอร์ดไม่ได้สั่งปลดเขาออกแต่อย่างใด

ส่วนกรณีความผิดที่นายสมพรได้ถูกเปรียบเทียบปรับจาก ก.ล.ต. กรณีการขายหุ้น ซึ่งเป็นเหตุผลที่จะใช้ปลด นายสมพร สืบถวิลกุล ออกจากตำแหน่งนั้น

นายสมพร ได้กล่าวอธิบาย กับ “ดอกเบี้ยธุรกิจ” ว่า ข้อเท็จจริงแล้ว เขาขายหุ้นโดยสุจริต เมื่อตอนหลังเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่

ผมขายจำนวนน้อยมาก 7 หมื่นหุ้น เป็นเงินค่าขายหุ้นแค่ 2 ล้านบาท และกำไรจากการขายหุ้นดังกล่าวเพียงแค่ 4 แสนบาทเท่านั้น ไม่ใช่การสร้างราคา ถ้าจะทำผมไม่เอาชื่อเสียงของผมไปเสี่ยงกับเงินเพียงแค่นี้ ผมขายเพราะมีความจำเป็นต้องใช้เงิน และได้รายงานการขายนี้ให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ รับทราบในวันรุ่งขึ้นทันที เป็นการรายงานด้วยตัวเองเลย ทำถูกต้องตามขั้นตอนตลาดทุกอย่าง แต่เมื่อตลาดหลักทรัพย์ฯ จะวินิจฉัยเช่นนั้น ก็จ่ายค่าปรับไป ก็จบแล้ว ที่ผมไม่ได้ไปโต้แย้งอะไร เพราะเห็นว่า แค่ปรับ ปรับก็ปรับเรื่องจะได้จบ

ในเรื่องอินไซด์หุ้นนี่ยิ่งไม่มีเจตนาเลย ไม่มีเจตนาจะเอาประโยชน์เข้าตัวเองอย่างที่ว่ากัน เพราะข้อมูลต่างๆก็เป็นที่เปิดเผยอยู่แล้ว ทั้งที่ส่งไปให้ คปภ. และในเว็บไซต์ของบริษัทก็ปรากฏอยู่ ผมไม่เอาเรื่องแบบนี้มาทำลายตัวเองหรอกครับ”

ส่วนประเด็นที่จะเอาเรื่องเหล่านี้มาเป็นประเด็นปลดจากตำแหน่งนั้น นายสมพร กล่าวชัดเจนว่า

“ผมผิดอะไร มีคนที่ถูกตลาดสั่งปรับเยอะแยะไปหมดทั้งตลาด เป็นค่าปรับมูลค่าหลายสิบล้าน ร้อยล้านด้วยซ้ำ ... ตลาดหลักทรัพย์ฯ เองที่เป็นผู้สั่งปรับผมก็ยังให้ผมทำงานต่อ ไม่มีข้อห้ามจากตลาดหลักทรัพย์ฯเลยว่า ห้ามผมปฏิบัติหน้าที่” นายสมพรกล่าว

ในส่วนของ นายสมใจนึก เองตระกูล ในฐานะประธานบริษัท ได้กล่าวกับ “ดอกเบี้ยธุรกิจ” ว่า ไม่ทราบเหตุผล ยังไม่มีข้อมูลว่า ทำไมกองทุนวายุภักษ์จึงขายหุ้นออกไป และเกิดอะไรขึ้น ซึ่งจะได้มีการถามเรื่องนี้ต่อไป

“ส่วนประเด็นคุณสมพรนั้น คงไม่ใช่ตามที่มีกระแสข่าวว่ามีการบีบกัน ผมเองเป็นประธานบริษัทมีหน้าที่ปกป้องผู้ถือหุ้นทุกคน ไม่แต่แค่รายใหญ่ รายใดรายหนึ่ง”

20 views
bottom of page