หุ้นแม่-ลูกมหัศจรรย์แห่งปี “JAS-JTS” ของ เดอะพิชญ์ โพธารามิก เป็นสุดยอดของสุดยอดหุ้นที่มาดุ่ยๆ มี “สตอรี่” ที่มาดันหุ้นตลอดๆ ดันราคาหุ้นให้ดูน่าตื่นเต้นหวือหวา ขณะที่ซื้อขายหุ้นนี้แบบกล้าๆกลัวๆกันไปก็สงสัยกันไปว่าหุ้นแม่ลูกคู่นี้ขึ้นมาได้อย่างไร วงในกระซิบสูตรชงหุ้นแบบนี้ต้องยกนิ้วให้ เซียนหุ้นตัวพ่อ “เสี่ยมา” ผู้ที่ทำหน้าที่ตัวชง ทำให้หุ้นขยับปรับขึ้นด้วยสไตล์ลีลาแบบไม่ธรรมดา ล่าสุดประกาศให้ลูก JTS ปันผล ดันราคาแม่ลูกขึ้นตุ๊บตั๊บ จน ก.ล.ต.ต้องออกโรงมาขวางคอสูตรปันผลดันราคาแปลกๆ
หุ้นแม่ลูก บริษัทจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล (JAS) และบริษัท จัสมิน เทเลคอม ซิสเต็มส์ (JTS) กลายเป็นหุ้นที่สุดยอดมากๆ สำหรับนักเก็งกำไรที่กล้าได้กล้าเสีย และตามเข้าไปร่วมวงซื้อขายหุ้นสองตัวนี้กับเขาด้วย ขณะที่นักลงทุนอีกไม่น้อยได้แต่มองตาปริบๆ ว่าซื้อขายกันได้อย่างไร จะซื้อขายก็แหยงๆ เพราะไม่แน่ใจถึงที่มาที่ไปของการปรับขึ้นของราคาหุ้น ที่มีสตอรี่มาดันหุ้นอยู่ตลอดๆ นับตั้งแต่เรื่อง ประมูล 4G แล้วก็กลับใจไม่เอา มาถึงเรื่องการรับซื้อหุ้นแม่คืน รับซื้อหุ้นลูกคืน จนมาถึงข่าวปันผล ดันราคาหุ้นขึ้นสวนกระแสตลาดรวมอยู่ก็บ่อยครั้ง
ถามว่า ราคาหุ้นแม่ลูกคู่นี้เดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร แหล่งข่าวระดับสูงในวงการค้าหุ้นเปิดเผยกับ “ดอกเบี้ยธุรกิจ” ว่าต้องยกนิ้วให้ “เดอะพิชญ์” พิชญ์ โพธารามิก เจ้าของหุ้นทั้งสอง และอีกคนที่ต้องยกนิ้วให้คือ เซียนหุ้นตัวพ่อ ที่เก๋าเกมหุ้นมายาวนาน อย่าง “เสี่ยมา” ที่มาช่วยเป็นตัวชง
“ ลีลา การดันราคาหุ้นด้วยสไตล์แบบที่เห็นตลอดมานี้ของ JAS และ JTS ต้องยกนิ้วให้เขาหล่ะว่าเก่งจริงๆ ที่ดันราคาหุ้น จัดสตอรี่ต่างๆ สัมพันธ์กับจังหวะกันขึ้นลงของราคาในกระดานมาได้ขนาดนี้”
อย่างไรก็ตาม กรณีล่าสุดที่มีการประกาศจ่ายเงินปันผลเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2559 ของ JTS โดยราคาหุ้นแม่-ลูกที่ขึ้นมาดักตั้งแต่ต้นเดือนกันยายนเป็นต้นมาจาก JTS จาก 1.29 บาทขึ้นมาเป็น 2.26 บาท และ JAS ที่ขึ้นมาจาก 5.50 บาท เป็น 8.35 บาท เริ่มเป็นที่ เอะใจของสำนักงาน ก.ล.ต.แล้ว
ทั้งนี้ ก.ล.ต. ได้สั่งการให้คณะกรรมการ JTS ชี้แจงว่าทำไมจึงมีการการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในช่วงที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทแม่กำลังทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์และ JTS มีผลขาดทุน
ตามคำสั่งก.ล.ต. ระบุว่า “ตามที่ปรากฏข่าวเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2559 ว่า คณะกรรมการบริษัท จัสมิน เทเลคอม ซิสเต็มส์ (JTS) มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้แก่ผู้ถือหุ้นสามัญของ JTS ในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน 70,654,730 บาท โดยเป็นการประกาศจ่ายในระหว่างที่ นายพิชญ์ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของ JAS ซึ่งเป็นบริษัทแม่กำลังทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ JTS และจะสิ้นสุดการรับซื้อในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2559
ทั้งนี้ คณะกรรมการ JTS กำหนดให้ผู้ถือหุ้นที่มีรายชื่อในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2559 ซึ่งเป็นวันหลังจากปิดการรับซื้อแล้ว เป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินปันผลดังกล่าว โดยที่ JTS มีผลขาดทุนจากการดำเนินงานตามงบการเงินไตรมาสที่ 3 ของปี 2559 และการประกาศจ่ายเงินปันผลดังกล่าวอาจมีผลต่อราคาหรือการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ JTS จึงอาจเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่นายพิชญ์ ซึ่งเป็นผู้ทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ JTS
ดังนั้น ก.ล.ต.จึงให้คณะกรรมการ JTS ชี้แจงผ่านระบบสารสนเทศของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เกี่ยวกับที่มา และเหตุผลของการจ่ายเงินปันผลดังกล่าว และความเห็นของคณะกรรมการในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อผู้ถือหุ้น รวมทั้งผลกระทบด้านกฎหมาย หรือด้านอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นต่อบริษัทและผู้ถือหุ้นของบริษัท”
นอกจากนี้ ก.ล.ต. ยังเตือนผู้ลงทุนในตลาดด้วยว่า ในระหว่างนี้ ขอให้ผู้ลงทุนถือหุ้นศึกษาข้อมูลและติดตามข่าวสารที่เกี่ยวข้องโดยละเอียดเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน
อย่างไรก็ตาม หลังจาก ก.ล.ต.ออกคำสั่งให้ชี้แจงแล้ว ทาง JTS ก็ยังไม่ได้มีการชี้แจงมาในทันทีทันควัน และก.ล.ต.ก็ยังคงรอคำชี้แจงอยู่
ก่อนหน้านี้ เมื่อ 20 ตุลาคม 2559 ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ คำถามให้ JTS ชี้แจงตอบข้อสงสัยเช่นกันว่า ทำไม ราคาหุ้น JTS ถึงได้ปรับขึ้นแบบ “เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก” ว่า “ บริษัทมีพัฒนาการใดๆ ที่ยังไม่ได้เปิดเผย หรือสารสนเทศที่มีนัยสำคัญที่บริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาและอาจเปิดเผยต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ในระยะเวลาอันใกล้ เช่น การเพิ่มทุน การร่วมทุน การได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งทรัพย์สิน
หรือข้อพิพาทที่สำคัญ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสภาพการซื้อขายที่เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่” ก็ได้คำตอบสั้นๆจาก JTS เพียงแค่ว่า “ไม่มี” และคำถามที่ว่า “บริษัททราบถึงสาเหตุอื่นใดที่อาจส่งผลกระทบต่อการซื้อขายหรือไม่” ก็ได้คำตอบแค่ว่า “ไม่ทราบสาเหตุ” ซึ่งจากนั้นก็ไม่ได้มีผลอะไรคืบหน้า โดยราคาหุ้น JTS ยังเดินหน้าขึ้นต่อรวมจาก 9 กันยาที่ 1.29 บาท ถึงกว่า 75% โดยมีข่าวออกมาในวันที่ 28 ตุลาคมเฉลยว่า คณะกรรมการ JTS มีมติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาล
ด้วยเหตุนี้จึงคาดหมายว่า ก.ล.ต.ก็คงไม่ได้คำตอบอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันจากบริษัท และเรื่องก็คงเงียบไปในที่สุด หรือไม่ก็ตรงกันข้ามคือ ก.ล.ต.จะสวมบทผู้กำกับจับให้มั่นคั้นให้ตาย แบบนั้นก็ต้องลุ้นต่อไปว่า การปันผลจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ การรับซื้อหุ้นคืนจะเดินต่อไปอย่างไร ถ้ามาแบบนี้ก็ไม่แน่ว่าอาจเข้าทาง “เสี่ยมา” ได้จังหวะ “เทหุ้น” จากมือสักรอบหนึ่งก่อน ค่อยหา “สตอรี่ใหม่มาเล่น”