top of page
327304.jpg

ช้อนหัก การลงทุนมีความเสี่ยง


สองสัปดาห์นี้มีปรากฏการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นในกลุ่มไลน์ของเพื่อนผมที่หลายคนเป็นนักลงทุนในตลาดหุ้น หรือพูดง่ายๆ หน่อยคือเป็นนักเล่นหุ้น

กล่าวคือไม่มีใครคุยให้ฟังว่าทำกำไรจากหุ้นตัวนั้นตัวนี้ได้เท่าไร ซื้อมาเท่าไร ขายไปเท่าไร บางคนถึงขนาดแช่งให้หุ้นที่ขายไปแล้วราคาตก จะได้ซื้อกลับมาทำกำไรใหม่เหมือนตอนที่หุ้นขึ้นเพราะเงินลงทุนที่ไหลเข้ามาจากต่างประเทศ

ผมไม่ใช่นักเล่นหุ้น จึงได้แต่มองด้วยความอิจฉานิดๆ ว่า ทำไมเพื่อนๆ ถึงทำเงินกันง่ายนัก ไม่เห็นต้องฝ่าการจราจรที่น่าจะติดหนึบที่สุดในโลกไปทำงานให้ลำบากตอนแก่เหมือนผม แต่ลึกๆ มีความเชื่อว่า ถ้าการเล่นหุ้นทำเงินได้ง่ายขนาดนั้น ป่านนี้คงมีแต่คนรวยหุ้นเต็มบ้านเต็มเมือง เพราะเห็นแต่ช่วยกันสร้างความโลภให้คนเชื่อว่า ถ้าอยากรวยต้องเล่นหุ้น โดยเฉพาะหุ้นที่มีสตอรี่รายวัน ขึ้นเร็ว ลงเร็ว ทำกำไรสนุกสนานตอนตลาดหุ้นอยู่ในช่วงหุ้นขาขึ้น

ก็หวังครับว่า อีกไม่นานตลาดจะรีบาวด์ เพราะนักลงทุนเห็นว่าราคาหุ้นตกลงมาใกล้จะถึงแนวรับแล้ว และปัจจัยพื้นฐานยังมั่นคงดีอยู่ การที่หุ้นราคาตกเป็นการปรับตัวของตลาดชั่วคราว เพราะถึงเวลาที่นักลงทุนที่ต้นทุนต่ำจะทำกำไรจากการลงทุน ฯลฯ สำหรับข้อความในย่อหน้านี้ทั้งหมด ขอย้ำว่า ผมลองเขียนดูให้เหมือนบรรดากูรูทั้งหลายบ้าง ห้ามเชื่อถือเด็ดขาด เพราะเป็นบทวิเคราะห์มาตรฐานเวลาหุ้นตก และเวลาหุ้นขึ้นก็จะมีบทวิเคราะห์มาตรฐานอีกแบบหนึ่งอธิบายให้บรรดา “นักลงทุน” ทั้งหมีและกระทิงมีความสุขทั้งช่วงขาขึ้นและขาลง

เขียนมาถึงตรงนี้ ถ้าเผอิญมีใครถามว่า ผมมีความเห็นเรื่องหุ้นเวลานี้อย่างไร คำตอบคือไม่ทราบครับ เพราะนอกจากผมจะไม่ใช่เซียนหุ้นแล้ว บรรดาตัวแปรหรือที่ภาษาหุ้นเรียกว่า ปัจจัยพื้นฐานนี้ผมเคยเล่าเรียนมาว่าจะส่งผลให้ราคาหุ้นเคลื่อนไหวขึ้นลงนั้น ล้วนแล้วแต่มีความผันผวน (Volatility) ด้านราคาสูงมาก ที่สำคัญคือ ความผันผวนที่ว่านี้ ไม่ได้เกิดจากซัปพลายและดีมานด์เหมือนในภาวะปกติ แต่เกิดจากสาเหตุหลากหลายทั้งด้านการเมือง การก่อการร้ายระหว่างประเทศ ภัยจากสงคราม การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี ที่น่ากลัวที่สุดคือการเข้าแทรกแซงตลาดโดยธนาคารกลางของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะธนาคารกลางของประเทศมหาอำนาจอย่างธนาคารกลางของสหรัฐ สหภาพยุโรป อังกฤษ ญี่ปุ่น และจีน ที่พิมพ์เงินกันเองตามใจชอบ เป็นต้น

ผมอ่านบทวิเคราะห์ของนักวิเคราะห์ท่านหนึ่ง กล่าวว่า ใครก็ตามที่กำหนดราคาหุ้นล่วงหน้าได้เกินกว่า 1 วัน คือหมอดูหรือหมอเดา เพราะไม่มีใครรู้อนาคตล่วงหน้าได้เกินกว่า 1 วัน

อ่านแล้วผมค่อนข้างจะเห็นด้วย ยกตัวอย่างเช่น ใครจะไปทราบว่าอยู่ดีๆ ดัชนีตลาดหุ้นของเกาหลีจะตกเพราะซัมซุงต้องเรียกคืนสมาร์ทโฟน กาแลคซี่โน้ต 7 ของตัวเองที่ขายไปแล้วหลายล้านเครื่องทั่วโลก เพราะปัญหาแบตเตอรี่ระเบิด ทำให้ราคาหุ้นของบริษัทหายไป 7.6% มูลค่าตลาดลดลง 19 พันล้านเหรียญดอลลาร์

ก่อนหน้านั้นไม่นาน มีข่าวว่าธนาคารกลางสหรัฐอาจชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพราะดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจหลายตัวยังอ่อนแอกว่าที่คาด ทำให้ราคาหุ้นในตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยทั่วหน้า สำนักข่าวแห่งหนึ่งของต่างประเทศพาดหัวว่า ข่าวดีในท่ามกลางข่าวร้าย แต่ไม่กี่วันต่อมา ผู้ว่าการธนาคารกลางของบอสตันคือ นายอีริค โรเซนเกรน กลับออกมาแถลงว่า การที่ธนาคารกลางสหรัฐชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยออกไป ยิ่งนาน ยิ่งทำให้เกิดความเสี่ยงสูง เพราะราคาสินทรัพย์ โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ค่อนข้างจะสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จึงถึงเวลาที่ธนาคารกลางสหรัฐจะทยอยขึ้นดอกเบี้ยได้แล้ว

พอแกพูดแค่นี้ก็เกิดแผ่นดินไหว ตลาดหุ้นสะเทือนทั้งโลก ตกต่อเนื่องกัน เพราะมีการตีความเกินเลยไปว่าธนาคารกลางอาจขึ้นดอกเบี้ยติดต่อกันหลายๆ หน ทำให้ราคาผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้นและราคาหุ้นตกลง พอไม่นานมีข่าวว่าเกาหลีเหนือทดลองระเบิดนิวเคลียร์ใต้ดิน ขนาดแรงระเบิดสูงสุดเท่าที่เคยทดลองมาและมีขนาดเล็กพอที่ขีปนาวุธจะส่งไปถึงญี่ปุ่นและภาคตะวันตกของสหรัฐสำเร็จ ตลาดหุ้นทั้งในเกาหลีและญี่ปุ่นก็ตกตามข่าว พอจะเป็นปกติ ก็มีข่าวว่ากองทัพเกาหลีใต้สามารถทำลายล้างกรุงเปียงยาง นครหลวงของเกาหลีเหนือ ให้กลายเป็นเถ้าธุลีได้เหมือนกัน ถ้าเกิดสงครามก็เชื่อได้ว่าจะส่งผลทางจิตวิทยาทำให้ตลาดหุ้นได้รับผลกระทบทางลบอีกเพราะเกรงภัยสงคราม

ตัวอย่างที่ยกมาเพื่อให้เห็นว่า เดี๋ยวนี้ราคาหุ้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลประกอบการของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับความสามารถในการสร้างสตอรี่ ข่าว หรือความเปลี่ยนแปลงที่มาจากต่างประเทศที่ไม่สามารถจะคาดได้ว่าจะมาเมื่อไร เพราะคงไม่มีใครทราบว่าสมาร์ทโฟนของซัมซุงซึ่งมีชื่อเสียงด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัยจะตกม้าตายเพราะปัญหาแบตเตอรี่พลังงาน หรือทราบว่าเมื่อไรประธานาธิบดี คิม จอง อุล ของเกาหลี แกจะนึกสนุกทดลองระเบิดนิวเคลียร์ หรือยิงขีปนาวุธลงทะเลใกล้ๆ ประเทศญี่ปุ่น

สุดท้ายใครจะทราบว่าธนาคารกลางสหรัฐจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อไร เพราะกรรมการของธนาคารกลางมีหลายท่าน และผู้ว่าการธนาคารกลางของสหรัฐก็มีสิทธิ์ออกมาแสดงทรรศนะแข่งกับผู้ว่าการเยลเลน

แล้วเราจะเอาแน่เอานอนกับตลาดหุ้นเล็กๆ ที่ขึ้นๆ ลงๆ เพราะกระแสเงินไหลเข้า พอที่จะบอกราคาหุ้นล่วงหน้าได้เกินกว่า 1 วันได้อย่างไร ดูแล้วก็เหมือนกับเกมทายใจผู้นำของโลกด้านต่างๆ หรือผู้นำของกลุ่มผู้ก่อการร้ายว่าจะลงมือที่ไหนและเมื่อไรนั่นเอง

ตอนนี้มีเกมต่อรองที่น่าติดตามเหมือนกันว่า ใครจะได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ และผลกระทบต่อตลาดหุ้นที่จะตามมาเป็นอย่างไร

เอาว่า นักเล่นหุ้นน่าจะระมัดระวังไว้บ้าง อย่าให้ความโลภครอบงำ เพราะการแก้มือต่อสู้กับตลาดหรือเจ้ามือนั้น น้อยคนที่จะเอาชนะได้ ถ้าเสียไปแล้วพยายามถอนตัวออกมาให้เสียน้อยที่สุด น่าจะดีกว่าพยายามทำกำไรแก้มือในภาวะที่ความไม่แน่นอนและความผันผวนสูง และอยู่นอกเหนือความควบคุมของท่าน หรือแม้แต่รัฐบาลหรือธนาคารกลางของไทยเราเอง ท่านจะต้องเก่งและโชคดีจริงๆ เท่านั้น ถึงจะทำกำไรเอาชนะได้

ภาวะความผันผวนสูงๆ อย่างนี้ ปล่อยให้บรรดากองทุนเฮดจ์ฟันด์เขาเล่นกันเถิดครับ เพราะพวกนี้เขาชอบให้มีความผันผวนสูงๆ เป็นอาชีพของเขาที่หากินกับความเสี่ยงของคนอื่น และความผันผวนของตลาดทุกตลาด ไม่ว่าจะเป็นตลาดเงิน ตลาดทุน หรือตลาดอนุพันธ์ ส่วนตัวผมเชื่อว่าเราสู้เขาไม่ได้หรอกครับ มนุษย์ทองคำพวกนี้ขึ้นเขาก็ชนะ ลงเขาก็ชนะ

แต่ถ้าใครอยากลองสู้ก็เชิญตามสบายครับ เพราะโอกาสซื้อของถูกๆ (ตามที่เซียนเขาว่า) มีน้อย ขอให้โชค (ย้ำนะครับว่า โชค) ดีครับ

แต่พักนี้ผมเห็นเพื่อนๆ เซียนเล็กเซียนน้อยต่างออกมาบ่นว่าช้อนหักกันเป็นแถว ซื้อช้อนไม่ทัน

ยังไงๆ อย่าลืมท่องคาถากันภัยที่ศักดิ์สิทธิ์ครับว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง”

51 views
bottom of page