Interview: ผศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการศูนย์เศรษฐกิจระหว่างประเทศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เผย ‘อู่ฮั่น’ เป็นเมืองที่มีความสำคัญมากของจีน นับแต่ยุคประวัติศาสตร์โบราณถึงโลกยุคดิจิทัล เปรียบเหมือนหัวใจ อวัยวะสำคัญสุดของคน ต้องรักษาไว้แบบสุดชีวิต หากไม่สำคัญจริงๆ แล้ว ทางการจีนหลีกเลี่ยงแตะต้องแน่นอน เพราะนี่เป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ บก น้ำ อากาศ ของประเทศ และยังเป็นศูนย์อุตสาหกรรมไฮเทค ‘ออปติก วัลเลย์’ เมื่อเมืองถูกปิด/โรงงานต้องหยุดผลิตจะส่งกระทบไปทั่วโลกในยุคอุตสาหกรรมซัพพลาย เชน กระทบอุตสาหกรรมเทคโนโลยีต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำทั่วโลก ผวากระทบหนักสินค้าไฮเทคต่างชาติเข้ามาตั้งฐานผลิตชิ้นส่วนในเมืองไทยแบบเดียวกับครั้งน้ำท่วมใหญ่ไทยปี 2554 ถ้าต้องพึ่งจีนมาก วอนคนไทยอย่ารังเกียจจีนในยามเผชิญเคราะห์กรรมโรคอู่ฮั่น ไทยต้องพยายามเรียนรู้และต้องรู้ด้วยว่าจะทำอย่างไรไม่ให้โรคแพร่ระบาดในเมืองไทย
ประเมินสถานการณ์โรคไข้หวัดโคโรนาอย่างไร
แน่นอนว่าตอนนี้เรารู้แล้วว่ามีการแพร่ระบาดในไทยอย่างชัดเจน เพราะว่ามีการติดโรคไปถึงคนไทยที่ไม่ได้เดินทางไปอู่ฮั่น แต่ว่าอย่างไรก็ตามเราไม่ต้องตื่นตระหนก เพราะว่าถ้าเราปฏิบัติตนอย่างถูกต้อง เราก็จะไม่ติดโรคนี้ ยังไงก็ต้องกินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือด้วยกันทุกคน แล้วสถานการณ์ก็จะค่อยๆ ดีขึ้น เพราะว่าในที่สุดเชื้อโรคที่เราไม่เคยได้ภูมิต้านทานเลย เราก็จะได้มีภูมิต้านทาน แล้วอัตราการแพร่ระบาดที่เป็นเอ็กซ์โพเนนเชียลแบบอัตราก้าวหน้า มันก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเอ็กซ์โพแนนเชียลแบบอัตราถดถอย แล้วเมื่อถึงตอนนั้นก็จะกลายเป็นโรคประจำถิ่นไป ไม่ได้มีความรุนแรงขนาดหนักต่อไปแล้ว
ทีนี้ช่วงที่รุนแรงมากๆ อัตราการเสียชีวิตของโรคนี้ไม่ได้สูงมาก เมื่อเทียบกับซาร์สหรือเมอร์ส เพราะฉะนั้นทุกคนทำให้ถูกสุขลักษณะ สุขอนามัยดีก็น่าจะพ้นวิกฤตไปได้
มองว่าจีนปิดประเทศ ที่ทำตอนนี้ จะเอาอยู่ไหม หยุดโรคนี้ได้ในเวลารวดเร็ว
เชื่อว่าเขาก็พยายามอย่างเต็มที่แล้ว ทางการจีนเอง ถ้าไม่จำเป็นหรือว่าไม่ได้เกิดวิกฤตขนาดนี้จริงๆ คงจะไม่ถึงกับต้องชัทดาวน์เมืองอู่ฮั่น เพราะว่าเมืองนี้ ถือว่าเป็นจุดศูนย์กลางของระบบคมนาคมของจีนตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ปัจจุบันก็เป็นแหล่งผลิตสินค้าที่สำคัญ โดยเฉพาะเรื่องไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ขณะเดียวกัน ก็เป็นแหล่งผลิตเทคโนโลยีใหม่ๆที่ไฮเทคของจีน ก็ผลิตที่นี่ทั้งนั้น
การที่ สี จิ้น ผิง หยุดคนห้ามคนเดินทาง - ปิดเมืองอู่ฮั่น ถือว่าเขาต้องแน่พอสมควร
ใช่ โดยเฉพาะถ้าเป็นเมืองอู่ฮั่น ซึ่งอู่ฮั่นจริงๆ แล้ว ถ้าเรานึกถึงประวัติศาสตร์โบราณ เอาที่คนไทยรู้จักกันดีคือสามก๊ก ที่สะพานผาแดง เกิดที่นี่ ห่างจากอู่ฮั่นไม่มาก นั่งรถ 2 ชั่วโมงเท่านั้น ตรงนี้ก็เป็นรอยต่อก๊กสำคัญๆ ไม่ว่าจะเป็นก๊กที่เก่งทางเรื่องการค้า มาทางใต้ออกมาทางตะวันออก อย่างเช่นซุนกวน ก๊กของเล่าปี่ทางใต้ตะวันตก และแน่นอน ก๊กของโจโฉทางด้านบน
เราอาจจะเคยได้ยินเขื่อนสามผา แม่น้ำแยงซีเกียงที่ผลิตไฟฟ้าใหญ่ที่สุดในโลก เลยจากอู่ฮั่นไปสักชั่วโมงเศษ ซึ่งอู่ฮั่นถือว่าเป็นจุดศูนย์กลางของแม่น้ำแยงซีเกียง
จีนมีแม่น้ำสำคัญอยู่ 3 สาย สายที่อยู่ทางตอนเหนือคือฮวงโห เมืองหลักของฮวงโหคือปักกิ่ง และมีเมืองท่าที่เป็นแหล่งผลิตสำคัญ ทางตอนกลางก็จะมีอู่ฮั่นที่อยู่กับแม่น้ำแยงซีเกียง และปากแม่น้ำก็คือเซี่ยงไฮ้ ในขณะที่แม่น้ำตอนใต้ก็คือจูเจียง เมืองศูนย์กลางก็คือหนานจิงเมืองหลวงทางใต้ และปากน้ำก็คือกวางโจว ฮ่องกง เกาลูน
ดังนั้นเมื่อมีแม่น้ำ 3 สาย จักรพรรดิจีนก็ต้องสร้างระบบชลประทานเพื่อเชื่อมแม่น้ำ 3 สาย สร้างระบบคลองที่เป็นระบบเชื่อมต่อเพื่อการขนส่งเชื่อมแม่น้ำ 3 สายนี้
ดังนั้นมันเป็นจุดศูนย์กลางการขนส่งมาตั้งแต่โบราณกาล เพราะฉะนั้นพอเริ่มพัฒนาระบบถนนที่เป็นระบบไฮเวย์ ซึ่งไฮเวย์แกนหลักสำคัญที่สุดจะมี 2 เส้น แนวเหนือใต้วิ่งจากปักกิ่งลงไปกวางโจว แนวตะวันตกตะวันออกวิ่งจากฉงชิ่งไปเซี่ยงไฮ้ ซึ่งทั้ง 2 สายไปตัดกันที่อู่ฮั่นพอดี ดังนั้นระบบถนนทั้งหลายจะกระจายตัวออกจากอู่ฮั่นออกไปเป็นรัศมีโดยรอบ ดังนั้นการขนส่งทางบกอู่ฮั่นถือว่าเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญมาก
จากนั้นเมื่อ จีนสร้างระบบรถไฟ เครือข่ายเชื่อมโยงของรถไฟของจีนจะเป็น 8 เส้นทางตามแนวเหนือใต้ 8 เส้นทางตามแนวตะวันตกตะวันออก แต่เส้นทางรถไฟที่อัปเดตให้วิ่งความเร็ว 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็จะมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่อู่ฮั่น
ดังนั้นในช่วงตรุษจีนที่ผ่านมา มีคนเดินทางในจีน 440 ล้านเที่ยวไปทางรถไฟ สายการบินอีก 80 ล้านเที่ยวบิน ทั้งหมดมีอู่ฮั่นเป็นจุดศูนย์กลางทั้งหมด ซึ่งตอนที่ชัตดาวน์อู่ฮั่น ถ้าเกิดเหตุการณ์มันไม่ใหญ่จริงไม่รุนแรงจริง เขาต้องเลี่ยงที่จะทำแน่นอน ซึ่งถ้าต้องทำก็แปลว่าเขาต้องมั่นใจว่าต้องทำและทำเสร็จปุ๊บเศรษฐกิจจะพัง แต่อย่างน้อยมันควบคุมการระบาดได้แน่นอน
จากเหตุการณ์นี้ จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง
คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงใหญ่ขนาดนั้น แต่สิ่งที่เราควรสนใจคือผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย
โดยปกติเวลาเราพูดถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย หลายๆคนจะวิเคราะห์ว่าปิดเมืองคนก็อยู่แต่ในบ้าน การเดินทางก็ลดลง ทำให้การท่องเที่ยวที่เราเคยรับนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก แน่นอนปีนี้การท่องเที่ยวไทยก็อาจจะแย่
แต่นอกจากเรื่องการท่องเที่ยว ยังมีเรื่องอื่น คือ ที่อู่ฮั่น เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ เขาตั้งมาตั้งแต่ปี 1988 และเริ่มเปิดตัวปี 1990 เรียกว่า ออปติคส์ วัลเลย์เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสมัยใหม่-ไฮเทค ถ้าเทียบก็คือ ซิลิคอน วัลเลย์ ของสหรัฐอเมริกา ก็คืออุตสาหกรรมไฮเทคทั้งหลาย อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ อยู่ตรงนั้น แล้วก็มีมหาวิทยาลัย อย่างมหาวิทยาลัยสำคัญของซิลิคอนวัลเลย์ก็คือสแตนฟอร์ดกับเบิร์กลีย์ ผลิตคนที่มีคุณภาพสูงๆ ในเรื่องของไอทีเข้าไปป้อนตลาด
เมืองอู่ฮั่นมี ออปติคส์ วัลเลย์ ก็แปลว่าใจกลางของประเทศ ก็ตั้งอยู่ที่นี่ ดังนั้นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหลาย อุตสาหกรรมไฟฟ้าที่เป็นเครื่องจักรทันสมัยทั้งหลาย จะอยู่ที่อู่ฮั่น ดังนั้นโรงงานเหล่านี้ก็ถูกปิดหมด แปลว่าอะไรก็ตามที่เป็นอุตสาหกรรมที่อยู่ในซัพพลายเชนนี้ และที่ไทยเราเข้าไปอยู่ในซัพพลายเชนนี้ด้วย ที่เราเคยผลิตวัตถุดิบต้นน้ำ กลางน้ำส่งให้เมืองจีน ออร์เดอร์ ก็จะลดลงทันที…นั่นคือไทยได้รับผลกระทบด้วย
ขณะเดียวกัน ถ้าเราเป็นอุตสาหกรรมที่อยู่ปลายน้ำ สิ่งที่ต้องผลิตที่อู่ฮั่น แปลว่าหลังจากเหตุการณ์นี้ที่ต้องปิดเมือง ภาคการผลิตยังเริ่มไม่ได้ เราก็จะขาดแคลนวัตถุดิบที่เป็นต้นน้ำ กลางน้ำมาผลิตในไทย สถานการณ์นี้ก็อาจจะคล้ายๆปี 2554 ที่ไทยเราน้ำท่วม พอน้ำท่วมจากนั้นอีกหลายเดือนต่อมา โกลบอลแวลูเชนของคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กพังทั้งหมด ขายโน้ตบุ๊กไม่ได้ต่อเนื่องไป 2-3 เดือนเลย เพราะว่าตอนนั้นเราเป็นผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์รายใหญ่ที่สุดของโลก เพราะฉะนั้นอะไรที่เกี่ยวข้องกับซัพพลายเชนที่เกี่ยวข้องกับจีน ก็จะได้รับผลกระทบ
งานนี้เราจะต้องอึดหรือสายป่านยาวแค่ไหนถึงจะอยู่รอด
ยังไม่มีตัวเลข แต่ส่วนตัวเชื่อว่าสมาคมที่เป็นของหอการค้า สภาอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์น่าจะมีตัวเลขว่าปัจจุบันเรานำเข้าสินค้า แล้วเราส่งออกสินค้าไปที่อู่ฮั่นมากน้อยแค่ไหน ถ้าเราพึ่งพิงเขามาก โอกาสที่จะส่งผลกระทบทางลบต่อเศรษฐกิจไทยก็จะรุนแรงและยาวนาน หากเราไม่ได้พึ่งพิงตรงนั้นมากเท่าไหร่ ก็อาจจะไม่ได้รับผลเท่าไหร่
เขาว่ากันว่า สหรัฐอเมริกาทำสงครามชีวภาพกับจีน เลยเอาเชื้อไวรัสโคโรนาตัวนี้ไปปล่อย เชื่อถือได้ไหม
คิดว่าไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น คุณจะเอาสงครามชีวภาพไปปล่อย คุณต้องทำให้มันเป็นโรคที่รุนแรง และติดต่อง่ายๆ แบบอีโบล่า และคนมันทำอะไรไม่ได้ แต่ว่าคุณเอาโรคที่แบบติดได้ง่ายก็จริงแต่ว่าติดมีเวลาฟักตัว 14-15 วัน คนที่รู้สึกติดเชื้อ ปวดหัว เดินทางเต็มไปหมด และจีนก็มีเดินทางไปสหรัฐอเมริกาด้วย ดังนั้นอเมริกาก็จะมีผู้ติดเชื้อไปด้วย
เพราะฉะนั้นเอาเข้าจริงๆ ถ้าจะใช้อาวุธชีวภาพ มันจะต้องไม่ใช่อาวุธที่มีลักษณะที่อัตราการตายต่ำแบบนี้ ถ้าเชื้อโรคไม่มีความรุนแรงมาก ก็จะแพร่ได้ไกล แต่ถ้าพูดถึงสงครามชีวภาพ มันต้องการเชื้อที่รุนแรง เพื่อให้มันกระจุกตัวอยู่เฉพาะเป้าหมายที่อยากจะทำสงคราม
สุดท้ายเมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ คิดว่า พรรคคอมมิวนิตส์จีน จะควบคุมอำนาจในจีนไว้ได้หรือไม่
เชื่อว่าจีนก็ต้องคิดแล้วว่าทำแบบนี้ดีที่สุด การที่ปิดเมือง ความเชื่อมั่นคนจีนก็ยังเชื่อมั่นอยู่ รัฐบาลก็จะควบคุมโรคและแก้ปัญหานี้ได้ และเร่งทำ เพราะหากเขาไม่เร่ง และมีผลเสียระยะยาวและกว้างกว่านี้ จะกระทบกระเทือนต่อการควบคุมอำนาจมากกว่านี้ ส่วนตัวคิดว่าแบบนั้นนั่นคือข้อเสียที่ทำให้คนรู้สึกไม่พึงพอใจต่อการทำงานของพรรคคอมมิวนิสต์มากกว่า .. แต่นี่เขาก็เคยมีประสบการณ์มาแล้วเรื่องซาร์ส ซึ่งส่วนใหญ่จีนผิดแล้วเรียนรู้ และไม่พยายามทำข้อผิดพลาดซ้ำ
มาถึงตอนนี้เราต้องเห็นใจและพยายามเรียนรู้ในเรื่องนี้ อย่าไปรังเกียจคนจีน และต้องรู้ว่าเราจะทำอย่างไรจะไม่ให้ไทยเจอโรคติดต่อนี้
Comments