top of page
369286.jpg

ลุ้น 'ภูเก็ตโมเดล' สอบผ่าน...เตรียมขยาย Travel Bubble ให้ครบ 5 ภูมิภาค


Interview : คุณชัยรัตน์ ไตรรัตนจรัสพร

ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.)

แค่ 'ไทยเที่ยวไทย' อย่างไรก็ไม่พอ รายได้ท่องเที่ยวปีก่อน 2 ล้านล้านบาทมาจากต่างชาติอย่างเดียว ปีนี้เข็นให้ตายแค่ 3-4 แสนล้านยังหืดขึ้นคอ หวัง Travel Bubble มาช่วยต่อลมหายใจ ชู ‘ภูเก็ตโมเดล’ เป็นต้นแบบนำนักธุรกิจ นักท่องเที่ยว กลุ่มผู้มารักษาตัว ระดับ High End มาไทยในไตรมาส 4 ให้ได้ 10 ล้านคนขึ้นไป แต่ต้องพร้อมด้วยกันทุกฝ่ายทั้งภาคธุรกิจเอกชน ทัวร์ โรงแรม ร้านอาหาร แหล่งท่องเที่ยว ภาคสาธารณสุขที่ต้องคุมเข้มเรื่อง State Quarantine และการตรวจโรค รวมถึงประชาชน ชุมชนในแหล่งท่องเที่ยว ที่ต้องเข้าใจและสนับสนุน ถ้า ‘ภูเก็ต โมเดล’ สอบผ่าน เตรียมขยาย Travel Bubble ให้ครบ 5 ภูมิภาค เช่น เชียงใหม่ อุบลฯ อุดรฯ จันทบุรี ระยอง ชลบุรี สมุย


ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไร ยังยิ้มได้ไหม

ยิ้มเล็กๆ เพราะตอนนี้มีมาตรการไทยเที่ยวไทย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งมีโครงการ ‘เราเที่ยวปันสุข’ ทำให้นักท่องเที่ยวไทยเริ่มออกเดินทางบ้าง แต่ส่วนใหญ่ยังเป็นเสาร์อาทิตย์อยู่ สิ่งที่เราต้องการคือวันจันทร์-พฤหัสบดี พยายามกระตุ้นให้มีการเดินทางวันธรรมดาด้วย

จะทำอย่างไรถึงจะกระตุ้นการท่องเที่ยวให้มากขึ้น

ก็เข้าใจว่าทุกท่านก็คุยกันว่า GDP ติดลบเยอะ และจะทำอย่างไรดี เช่นเปิดเจรจา เรื่อง Travel Bubble จนวันนี้มีภูเก็ตโมเดลออกมาแล้ว และคงออกมาในหลายจังหวัดทั่วประเทศ ปัญหาหลักคือ State Quarantine 14 วัน เราต้องคุยให้เข้าใจก่อนว่าต่างชาติรับได้ไหม เชื่อว่าต่างชาติเริ่มรับได้แล้ว แต่สำคัญที่สุด คือประเทศไทย พื้นที่นำร่องที่เราคุย เรื่อง Travel Bubble นั้น ภาคเอกชนและประชาชนต้องยอมรับด้วย ถ้าไม่ยอมรับตรงนี้ ถ้านักท่องเที่ยวต่างชาติมาแล้วเกิดเหตุแพร่ระบาดหรือเกิดการขับไล่ไม่ต้อนรับ ภาพมันจะเสียหาย

การติดต่อประสานงานต้องเจรจาให้ลึกๆ ลงไปว่าตอนนี้จะเจรจาเอาผู้ค้าเข้ามา แต่ต้องเจรจากับกลุ่มเป้าหมายที่ไม่ติดเชื้อโควิดมาไม่ต่ำกว่า 60 วันแล้ว เราต้องเลือกเจรจา อย่างสมมุติว่าจีนมีหลายมณฑลที่ยังมีปัญหาอยู่ พวกนี้เราจะไม่คุยถึง ไม่เปิดรับเจรจา ญี่ปุ่นมีเมืองที่ไม่มีติดเชื้อเลยก็คุยเป็นเมืองๆ ไป ไม่ใช่ว่าโอซากาหรือโตเกียวเราไม่รับ ไม่เหมือนกัน พอเจรจาเสร็จแล้วมีการตรวจสอบตลอดเวลา คือเข้ามากักตัว 14 วันไม่ใช่ตรวจ 1 รอบ อยู่ 7-8 วันก็ตรวจอีกรอบนึง ก่อนจะไปเที่ยวต้องตรวจอีกครั้งนึง ถ้าตรวจแล้วไม่เจอจริงๆ ก็ขออีก 7 วัน รวม 21 วัน เพิ่มจากที่โดนกักกันไว้ถึงเริ่มท่องเที่ยวได้เพื่อความมั่นใจ

ทำไมเราต้องเจรจาทำ Bubble เพราะธุรกิจการค้าวันนี้โดยเฉพาะอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไปไม่รอด ถ้าไม่มีการเจรจาเอานักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวก็ไม่รอด สิ่งที่เราผลักดันให้ไทยเที่ยวไทยอย่างไรก็ไม่เกิน 35% เราพยายามให้เกิน 50% แต่ช่วงต้นๆ คงลำบาก

เรื่อง State Quarantine ค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมถึงตรวจโรค ใครเป็นคนจ่าย


นักท่องเที่ยวต้องเป็นคนออกเองพร้อมทำประกันตัวเอง 100,000 ดอลลาร์ ถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันเราพูดอยู่ตลอดเวลาว่าเราต้องการนักท่องเที่ยว High End อีกอันนึงคือประเทศไทยเป็นประเทศที่เนื้อหอมที่สุดในวงการท่องเที่ยวตอนนี้ ปลอดภัยที่สุด อาหารการกินพร้อมที่สุด ราคายุติธรรมที่สุด นักท่องเที่ยวยังอยากจะมาอยู่

เงื่อนไขที่ตั้งขึ้นมาได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวต่างชาติมากแค่ไหน

ถ้ามีการตกลงเงื่อนไขเรียบร้อยเราจะไปทำประชาสัมพันธ์ มีหลายๆ กลุ่มพร้อมที่จะมาอยู่แล้วโดยเฉพาะกลุ่มนักธุรกิจ กลุ่มผู้ที่มารักษาตัวในประเทศ มาเยี่ยมญาติ กลุ่มพวกนี้อยากมามาก เพียงแต่เรายังไม่เปิดรับเท่านั้นเอง ตอนนี้ต้องเปิดแง้มทดลองว่าคุณกักตัว 14 วันแล้วไม่มีปัญหาใดๆ อีก 7 วันรอดูผลก็เดินทางได้เลย เชื่อว่ากลุ่มเป้าหมายที่อยากเข้ามาตอนนี้เยอะมาก คนที่อยากมา มีความมั่นใจในประเทศไทยว่ามีความเสี่ยงน้อยกว่าประเทศเขาอีก

ถ้าเกิดมาได้จริงๆ คิดว่าจะมาเสริมรายได้ท่องเที่ยวขนาดไหน

อยู่ที่เราเปิดได้เมื่อไหร่ เท่าที่คุยอยู่พยายามจะเปิดในเดือนตุลาคม เปิดแง้มดูทีละน้อยๆ ใหม่ๆ คือไตรมาสสุดท้ายที่เราพยายามจะทำให้ได้ 10 ล้านคนขึ้นไป คือวันนี้มีกลุ่มเป้าหมายอยู่ในมือ 7-8 ล้านราย แต่เราจะทำให้ได้ 10 ล้าน รัฐมนตรีอยากได้ 12 ล้าน ถ้าแง้มประตูไม่กว้างนักคงยากที่จะทำได้ 12 ล้าน แต่ถ้าประตูแง้มกว้างๆ ก็เป็นไปได้ที่นักท่องเที่ยวจะเข้ามาเยอะ

แต่ก็ต้องแข่งกับประเทศอื่นที่ทำ Travel Bubble ด้วย

ทุกประเทศก็เริ่มมองแบบนี้กันหมด ส่วนใหญ่ทุกประเทศหันมาเที่ยวในประเทศของเขาเอง แต่ที่สุดแล้วทุกประเทศก็เล็งตรงนี้ แต่ประเทศไทยได้เปรียบกว่าคนอื่น เนื่องจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้มากกว่าคนอื่น

ผู้ติดเชื้อแค่หลักพัน คนเสียชีวิตก็เท่าเดิม

ใช่ เทียบกับที่อื่นถือว่าน้อยมาก และราคาท่องเที่ยวบ้านเราเทียบกับที่อื่นยังถูกกว่าด้วย

ถ้าเป็นแบบนี้รัฐต้องช่วยอะไรบ้าง

อันนี้ต้องเจรจาให้เปิดเมืองก่อน ถ้าเรามีความมั่นใจอาจจะต้องเชิญบล็อกเกอร์ต่างๆ สื่อมวลชน เอเย่นต์ต่างๆ เข้ามาดูสภาพว่าถ้านำนักท่องเที่ยวมาเจอสภาพแบบนี้คุณรับได้ไหม แล้วให้เขาไปประชาสัมพันธ์แทนเรา ส่วนนึงก็จะช่วยได้ สิ่งสำคัญที่สุด ขณะนี้คือสร้างความเชื่อมั่น รัฐบาลมีหน้าที่อย่างเดียวคือประชาสัมพันธ์ แต่ค่าใช้จ่ายบางส่วนอาจจะแพงก็อาจจะซัพพอร์ตบางส่วนให้นักท่องเที่ยว

เอกชน ธุรกิจโรงแรม ร้านค้า ต้องทำอะไรบ้าง ต้องลดราคาไหม

ปัจจุบันโรงแรม 4-5 ดาว ลดราคาลงมาแล้วเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง เพื่อธุรกิจตัวเอง วันนี้ผู้ประกอบการพร้อมให้ความร่วมมือ วันนี้ภาคธุรกิจท่องเที่ยวหรือนักธุรกิจทั่วๆ ไปในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเขาไม่ได้มองว่าผลกำไรจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แต่สิ่งที่ต้องการคือ ทำอย่างไรให้นักท่องเที่ยวกลับคืนมา ทำให้แรงงานมีงานทำ ไม่อย่างนั้นแรงงานจะตกงานอีกเยอะมาก

กำไรนิดหน่อยก็พร้อมที่จะรับได้

อาจจะไม่ถึงกำไรก็ได้ คิดว่าถ้าปิดก็ขาดทุนอยู่แล้ว ที่ปิดทุกวันนี้ก็ขาดทุนอยู่แล้ว แต่ถ้ากระเตื้องขึ้นมา อย่างน้อยธุรกิจตัวเองก็ได้ขับเคลื่อน ได้บูรณะสถานที่ของเขา ก็เป็นการช่วยได้แล้ว ปีนี้ไม่ต้องพูดถึงกำไร

กรณีภูเก็ตโมเดล ประชาชนคนภูเก็ตก็ต้องเตรียมรับมือ อย่างคนมาเที่ยวห้างเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นนักท่องเที่ยว Bubble แล้วต้องระวังแค่ไหน

ก็เป็นจุดที่ผมเป็นห่วง คือต้องทำความเข้าใจให้ท้องถิ่นว่า 14 วันห้ามไปไหน ต้องอยู่ในสถานที่กักกันอย่างเดียว ไม่สามารถออกไปเดินห้างได้ ถ้าไปเดินตรงไหนตรงนั้นต้องปิด สมมุติไปกินร้านอาหาร ร้านนี้ต้องให้บริการเฉพาะโต๊ะนี้ จะไปโต๊ะนู้นไม่ได้แล้ว ต้องอยู่ในกลุ่มนี้เท่านั้น

ยืนยันว่ารายได้จากการท่องเที่ยวกลุ่มนี้ Bubble ตกอยู่ในไทย

เราหวังเช่นนั้น ที่ผ่านมานักท่องเที่ยว 40 ล้านในปี 2562 เป็นรายได้ 2 ล้านล้านที่มาจากต่างชาติอย่างเดียว คิดว่าปีนี้แค่ 3-4 แสนล้านยังหืดขึ้นคอ ทั้งที่เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ทำไว้บ้างแล้ว จากนี้ไปคงเหนื่อย แต่วันนี้เราอย่าไปมองตรงนั้นเป็นตัวเลขดีกว่า เราต้องคิดว่าทำอย่างไรถึงจะให้นักท่องเที่ยวเชื่อมั่นแล้วกลับคืนมา วันนี้ตัวเลขอาจจะน้อยก็ไม่เป็นไร ค่อยๆ กลับคืนมา ให้มาเที่ยวแล้วไม่มีโรคกลับบ้าน ผมเชื่อว่าจะนักท่องเที่ยวอีกเยอะที่อยากมาเที่ยว ตอนนั้นค่อยมาพูดถึงผลกำไรหรือรายได้

คิดว่าภูเก็ตโมเดลทำได้ง่ายไหม

ที่ทำง่ายที่สุดคือภูเก็ตและสมุย เพราะเป็นแหล่งท่องเที่ยว เป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวมากที่สุด รายได้ก็มากที่สุด ธุรกิจที่หล่อเลี้ยงทั้งหมดในขอบเขต 90% ของภูเก็ตและสมุยมาจากท่องเที่ยว จากผลกระทบที่เกิดขึ้นวันนี้ประชาชนเริ่มเข้าใจแล้วว่าถ้าไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเลยเขาก็ไม่รู้ว่าจะเอาเงินที่ไหนมาใช้มากิน สิ่งที่เขาคิดคือตอนนี้ต้องอยู่รอดให้ได้ ขณะที่ก็ต้องระวังตัวจากโรคระบาดเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเขาจะยอมเสี่ยงมากกว่าที่อื่น เขาเปิดใจกว้างยอมรับ นำนักท่องเที่ยวมาแล้วมีการตรวจสอบ การแพร่เชื้ออาจจะควบคุมได้ แต่ถ้าเกิดเจอแล้วต้องรีบแก้ไขทันที อย่างนี้ภูเก็ตโมเดลจะง่ายที่สุด

พอจะมีที่อื่นอีกไหม

ก็จะเปิด 5 ภาคด้วยกัน ภาคเหนือคงหนีไม่พ้นเชียงใหม่ อีสานก็อุบลราชธานีหรืออุดรธานี ที่เปิดเพื่อรับ AEC ก็เช่นกลุ่มติดชายแดนต่างๆ จันทบุรี ระยอง ชลบุรี ก็เป็นกลุ่มรับได้หมด มาสูงสุดก็พัทยาและระยอง เราก็ค่อยๆ มองดูก่อน มีเกาะส่วนตัวหลายเกาะที่พร้อมจะรับนักท่องเที่ยวแล้วสามารถควบคุมได้ แต่ไทยเที่ยวไทยก็ต้องทำเพราะกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยว โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายคือนักท่องเที่ยวไทยที่เคยไปต่างประเทศที่ต้องหันกลับมาช่วยไทย กลุ่มนี้เป็นกลุ่มใหญ่ 10 ล้านคน ต้องสร้างความรู้สึกให้อยากเที่ยวไทยเพื่อช่วยประเทศไทย ขณะเดียวกันกลุ่มราชการ ศึกษา ดูงาน อบรมสัมมนาต่างๆ ก็มาประชุมที่เมืองไทยกัน

128 views

Comments


bottom of page