top of page
379208.jpg

ต่างชาติเข้าซื้อดันตลาดหุ้นไทยต่อได้...ปัจจัยหนุนจากวัคซีน !


ตลาดหุ้นทั่วโลกยังอยู่ในภาวะขาขึ้น หรือ Risk on อย่างต่อเนื่อง หลังจากนักลงทุนเริ่มคาดหวังว่าเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวได้ดีขึ้นหากมีแจกจ่ายวัคซีน COVID-19 แล้ว โดยสหรัฐเตรียมที่จะเริ่มฉีดวัคซีน COVID-19 ให้ประชาชนกลางเดือน ธ.ค. 63

นอกจากนี้สหรัฐยังตั้งเป้าที่จะฉีดวัคซีนให้ได้ 70% ทั่วประเทศภายในเดือน พ.ค. 64 โดยแผนการแบ่งฉีดวัคซีนของสหรัฐจะเริ่มจากบุคลากรทางการแพทย์ก่อน ตามด้วยผู้สูงอายุและผู้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพ ก่อนที่จะฉีดให้กับกลุ่มผู้ทำงานด้านการให้บริการ ส่วนกลุ่มเด็กและวัยรุ่นจะได้รับวัคซีนเป็นกลุ่มสุดท้าย เพราะมีความเสี่ยงน้อยที่สุด ส่งผลให้ในสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนี MSCI ACWI ซึ่งเป็นดัชนีถ่วงน้ำหนักตลาดหุ้นทั่วโลก โดยออกแบบมาเพื่อสะท้อนด้านเคลื่อนไหวของราคาตลาดตราสารทุนโดยรวม อันประกอบด้วยหุ้นจากตลาดที่พัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่ปรับตัวขึ้น 1.81%

ทั้งนี้ “นายหมูบิน” ประเมินว่า Momentum ดังกล่าวจะยังคงมีอยู่ต่อไป หลังจากที่บริษัท Pfizer และ BioNTech ยื่นเรื่องต่อสำนักงานอาหารและยาสหรัฐ (FDA) เพื่อขออนุมัติการใช้วัคซีนแล้ว และถ้าได้รับอนุมัติก็จะสามารถดำเนินการตามแผนเวลาที่กล่าวไปได้ ขณะที่บริษัท AstraZeneca เปิดเผยว่า วัคซีน COVID-19 ซึ่งทางบริษัทพัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดมีประสิทธิภาพ 90% ในการป้องกันไวรัส COVID-19 หลังจากที่บริษัทระบุว่าก่อนหน้านี้ว่า ผลการวิเคราะห์เบื้องต้นพบว่าวัคซีนมีค่าประสิทธิภาพเฉลี่ย 70%

ด้านรัสเซียวางแผนเตรียมผลิตวัคซีนต้าน COVID-19 ชื่อ "Sputnik V" ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงถึง 95% ในราคาถูกกว่าคู่แข่งถึง 3 เท่าตัว หรือประมาณ 300 บาทต่อโดส จำนวนกว่า 1 พันล้านโดสในปีหน้า ทั้งนี้รัสเซียนับเป็นประเทศแรกในโลกที่ได้ประกาศจดทะเบียนวัคซีน COVID-19 แม้ว่าจะมีความเคลือบแคลงสงสัยจากนานาประเทศเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือ และความปลอดภัยของวัคซีนต้าน COVID-19 ตัวดังกล่าว เนื่องจากทางรัสเซียยังไม่ได้มีการเปิดเผยข้อมูลการทดลองวัคซีนในช่วงแรก แต่เพิ่งจะออกมาเปิดเผยผลการทดลองในเฟสที่ 3 ซึ่งมีอาสาสมัครจำนวนหลายหมื่นคนที่เข้ารับการทดสอบวัคซีนตัวนี้

ในส่วนของประเด็นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะสหรัฐจะเริ่มมีความคืบหน้าที่เป็นบวกขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่ประธานาธิบดี Donald Trump เริ่มกระบวนการถ่ายโอนอำนาจให้กับว่าที่ประธานาธิบดี Joe Biden แล้ว โดยข่าวดังกล่าวทำให้ตลาดคลายความกังวลเกี่ยวกับทิศทางการเมืองของสหรัฐ นอกจากนี้ Joe Biden ยังเตรียมเปิดตัวทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ในเร็วๆ นี้

ความเชื่อมั่นของนักลงทุนดังกล่าว สะท้อนออกมากจากทิศทางของดัชนี VIX Index หรือดัชนีความกลัว ซึ่งเป็นดัชนีที่สะท้อนความผันผวนของตลาดหุ้น โดยเป็นการหาค่า Volatility (ค่าความผันผวน) ผ่านตัว Option โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมาจะพบว่าดัชนี VIX Index ของตลาดหุ้นสหรัฐ, ยุโรป และฮ่องกงลดลง 7.31%, 6.85% และ 3.17% ตามลำดับ ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางดัชนี MSCI ACWI ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา และสอดคล้องกับผลสำรวจความเชื่อมั่นของนักลงทุนสหรัฐจาก AAII ที่ระบุว่าในสัปดาห์ที่ผ่านมา สัดส่วนนักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐในระยะ 6 เดือนข้างหน้ายังคงเป็นขาขึ้น หรือ Bullish เพิ่มขึ้น 2.90% เมื่อเทียบจากสัปดาห์ที่ผ่านมา มาอยู่ที่ 47.25% ขณะที่สัดส่วนนักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐในระยะ 6 เดือนข้างหน้ากำลังกลับเป็นขาลง หรือ Bearish ที่เพิ่มขึ้น 1.11% เมื่อเทียบจากสัปดาห์ที่ผ่านมา มาอยู่ที่ 27.47%

ตลาดหุ้นไทยกลับมา Outperform อีกครั้ง ! ในส่วนของตลาดหุ้นไทย ทิศทางของเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติ หรือ Foreign Fund Flow ถือเป็นปัจจัยหนุนชัดเจน สะท้อนออกมาจากการที่ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดตราสารหนี้ หรือ Bond Market ของไทย มีเงินลงทุนจากต่างประเทศไหลออกอยู่ที่ 7,447 ล้านบาท สวนทางกับตลาดหุ้น หรือ Equity Market ที่มีเงินลงทุนจากต่างประเทศไหลเข้าอยู่ที่ 8,745 ล้านบาท เป็นเหตุให้ภาพรวมของประเทศไทยมีเงินลงทุนจากต่างประเทศไหลเข้าอยู่ที่ 1,298 ล้านบาท

ขณะที่ในเชิงของเทคนิค ทางที่ Indicator อย่าง MACD ของดัชนี Accumulated Foreign Fund Flow ยังคงมีสัญญาณ Positive Convergence อย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการไหลเข้าของเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทยที่ยังคงมีอยู่ในระยะสั้นอย่างชัดเจน ขณะที่ในเชิงของ Momentum ล่าสุดดัชนี Relative Strength ซึ่งเป็นดัชนีที่ใช้เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของหุ้นกับดัชนีอ้างอิงอย่าง World Stock Index โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่าตลาดหุ้นที่ Outperform ได้แก่ตลาดหุ้นญี่ปุ่น, Asia Ex-Japan และไทย ที่ Outperform ค่าเฉลี่ยราว 1.54%, 0.41% และ 1.54% ตามลำดับ ขณะที่ตลาดหุ้นที่ Underperform ได้แก่ ตลาดหุ้นสหรัฐ, ยุโรป และจีน ที่ Underperform ค่าเฉลี่ยราว 0.08%, -0.77% และ 1.98% ตามลำดับ

ขณะที่ในเชิงเทคนิคของตลาดหุ้นไทย “นายหมูบิน” ยังคงมองว่าตราบใดที่ SET ยังคงไม่ลงไปปิดต่ำกว่า 1,380 จุดอีกครั้ง ในระยะสั้น SET ยังคงอยู่ในทิศทางของการแกว่งตัวขึ้นต่อบนภาวะ “Risk on” ของตลาดหุ้นโลกได้ โดยมีบริเวณ 1,380 จุดเป็นจุดหมุน และ Cut Loss และมีบริเวณ 1,450 จุด (+/-10) เป็นเป้าหมายในระยะสั้น

ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) ตราบใดที่ SET ยังคงไม่ลงไปปิดต่ำกว่า 1,380 จุดอีกครั้ง เน้น “เก็งกำไรระยะสั้น” โดยมี 1,300 จุดเป็นจุดหมุน และจุด Cut Loss ในหุ้น CPALL, BJC, BEM, CRC, AOT, GPSC, PTTGC, WHA และ BDMS อีกครั้ง สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “คงสัดส่วนการลงทุนในหุ้นมาอยู่ที่ระดับ 25% ของพอร์ต”

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/wealthhuntersclub และ e-mail ที่ moobin.stockmania@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น. เช่นเดิมครับ

 

ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)

Source: Wealth Hunters Club


17 views

Comments


bottom of page