ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร และหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัทเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ที่ “A” และเปลี่ยนแนวโน้ม เป็น “Negative” จาก “Stable”
ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร และหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ที่ระดับ “A” พร้อมทั้งเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทเป็น “Negative” หรือ “ลบ” จาก “Stable” หรือ “คงที่” โดยแนวโน้มอันดับเครดิต “ลบ” สะท้อนถึงความกังวลต่อโอกาสในการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานของบริษัท หลังจากปิดและเปิดให้บริการโรงภาพยนตร์ภายใต้มาตรการระยะห่างทางสังคมหลายประการและการทำกำไรของบริษัทที่ต่ำกว่าที่คาดในช่วงไตรมาสแรกของปี 2563
“รายได้ของบริษัทอาจจะลดลงได้ถึง 60% ในปี 2563 ก่อนที่จะฟื้นตัวอย่างมากในปี 2564 ที่ระดับที่ต่ำกว่ารายได้ในปี 2562 ประมาณ 20% โดยมาตรการระยะห่างทางสังคมทำให้บริษัทต้องปรับลดจำนวนที่นั่งลง 75% จากปกติเมื่อกลับมาเปิดให้บริการโรงภาพยนตร์หลังจากที่ปิดให้บริการมา 2 เดือน ในขณะที่ความกังวลต่อการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในโรงภาพยนตร์อาจส่งผลกระทบต่อความต้องการชมภาพยนตร์” นอกจากนี้ จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่ทั่วโลกยังคงเพิ่มขึ้นหลังจากที่มีมาตรการปิดเมือง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงที่ผู้สร้างภาพยนตร์ฮอลลีวูดอาจจะชะลอการเข้าฉายของภาพยนตร์ที่มีการลงทุนสูงบางเรื่อง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อโอกาสในการทำรายได้ของบริษัทแม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศไทยส่วนใหญ่จะสามารถควบคุมได้แล้ว ปัจจุบันผู้สร้างภาพยนตร์ฮอลลีวูดมีแผนจะเริ่มนำภาพยนตร์เข้าฉายในโรงในวันที่ 1 กรกฎาคม 2563
อุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์ได้รับผลกระทบอย่างมากจากการแพร่ระบาดของไวรัสตั้งแต่ช่วงต้นปี โดยโรงภาพยนตร์ทุกแห่งต้องปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม ถึง 31 พฤษภาคม 2563 เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โดยภาครัฐได้อนุญาตให้ผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์เริ่มเปิดให้บริการได้อีกครั้งในวันที่ 1 มิถุนายน 2563 แต่ต้องดำเนินการตามมาตรการระยะห่างทางสังคมหลายประการ
ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2563 รายได้ของบริษัทลดลงถึง 45% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา มาอยู่ที่ระดับ 1.3 พันล้านบาท โดยที่อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ลดลงเป็น 20.8% เมื่อเทียบกับระดับ 34.0% ในช่วงเดียวกันกับปีที่แล้ว
โดยในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาบริษัทมีมาตรการในการลดค่าใช้จ่ายหลายประการเพื่อลดผลขาดทุนในช่วงที่ต้องปิดโรงภาพยนตร์และในช่วงที่เหลือของปีนี้ ทริสเรทติ้งคาดหวังที่จะเห็นต้นทุนที่ลดลงจำนวนมากโดยเริ่มจากผลการดำเนินงานของบริษัทในใตรมาสที่ 2
“อันดับเครดิตของบริษัทสะท้อนถึงสถานะผู้นำของบริษัทในธุรกิจโรงภาพยนตร์ในประเทศไทย ตลอดจนการมีโรงภาพยนตร์ซึ่งตั้งอยู่ในทำเลที่ดีทั่วประเทศ และผลประกอบการที่ดีในธุรกิจสื่อและโฆษณาของบริษัท อย่างไรก็ตาม จุดเด่นดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ อาทิ ปริมาณของภาพยนตร์ที่เข้าฉาย รวมทั้งความเป็นที่นิยมของภาพยนตร์ และการแข่งขันจากกิจกรรมนันทนาการประเภทอื่น
แนวโน้มอันดับเครดิต “Negative” หรือ “ลบ” สะท้อนการคาดการณ์ถึงผลกระทบทางลบอย่างมากของไวรัสโควิด-19 ต่อผลการดำเนินงานของบริษัท”
สำหรับการปรับอันดับเครดิตในอนาคตขึ้นอยู่กับความต้องการเข้าชมภาพยนตร์ว่าจะสามารถฟื้นตัวกลับมาได้ในช่วงที่ยังมีการแพร่ระบาดได้หรือไม่ รวมถึงความมีประสิทธิภาพของมาตรการลดต้นทุนที่จะช่วยลดการขาดทุนจากการดำเนินงานในไตรมาสที่จะถึงนี้ อันดับเครดิตอาจได้รับผลกระทบในทางลบหากทริสเรทติ้งเห็นว่าการฟื้นตัวในปี 2564 ไม่เป็นไปตามคาดหรือหากการลดต้นทุนทำได้เพียงเล็กน้อย ทั้งนี้ แนวโน้มอันดับเครดิตอาจถูกปรับเป็น “คงที่” หากบริษัทสามารถกลับมามีผลการดำเนินงานที่ดีได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลทำให้สามารถคาดการณ์ได้ว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะลดต่ำลงกว่าระดับ 3.5 เท่าได้โดยเร็ว
Comentários