top of page
312345.jpg

นาทีนี้มีเงินหนา-กล้าเสี่ยง แนะลุยหุ้นกองทุน-ตราสารต่างประเทศ


Interview : คุณณัฏฐะ มหัทธนา

ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน และลูกค้าสัมพันธ์

บลจ.กรุงไทย (KTAM)

ชี้...หุ้นเทคโนโลยี-หุ้นที่ได้ประโยชน์จาก New Normal เป็นของดี...ของจริง ยิ่งกว่า ‘ทองคำ’ เพราะมีการเติบโตของรายได้แบบก้าวกระโดด การเติบโตของกำไรเพิ่ม 100% เป็นการเติบโตตามหลักตรรกะของเหตุและผล ต่างจากทองคำที่คาดการณ์เหตุและผลได้ยาก แนะ...หน้าตักเยอะรับความเสี่ยงได้ ควรลงทุนในหุ้น-กองทุน-ตราสารต่างประเทศ โดยเฉพาะหุ้นจีนมีโอกาสไปได้ไกลอีกมาก ส่วนตลาดหุ้นไทยมีสิทธิ์เป็นกระทิง ถ้าทีมเศรษฐกิจใหม่มือถึง มีนโยบายการคลังที่ดี มีการกระตุ้นเศรษฐกิจถูกที่ ถูกทาง ถูกเวลา

มีมุมมองเรื่องทิศทางราคาทองคำอย่างไร

จริงๆ ส่วนตัวเลิกเล่นเรื่องทองคำไปแล้วตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคม หลังจากนั้นก็ค่อนข้างจะหลีกเลี่ยง แล้วก็ไม่ค่อยเห็นความน่าสนใจเรื่องของทองคำ เพราะสายการวิเคราะห์หรือสายวางกลยุทธ์ของส่วนตัวใช้ตรรกะ หรือ Logic เป็นหลัก ส่วนตัวมองว่าตรรกะขาขึ้นของทองคำค่อนข้างจะด้อยกว่าอีกสิ่งหนึ่งที่ใช้ปัจจัยหรืออาศัยปัจจัยคล้ายๆ กัน ก็คือเรื่องของ Yield หลังๆ นักลงทุนมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้น อย่างพันธบัตร 10 ปีของสหรัฐอเมริกาตอนนี้ Yield อยู่ที่ 0.6 กว่า หลังๆ นักลงทุนก็เจาะลึกทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Yield ว่าไม่ได้มีแค่ Yield ตัวเดียว หรือว่าที่เรียกว่า Normal Yield อย่างที่เราเห็น แต่ว่ามันมี Yield แท้จริง หรือว่า Real Yield ซึ่งมาจากการเอา Normal Yield หรือ Yield ปกติไปลบกับการคาดหวังเงินเฟ้อ เอาเงินเฟ้อออกไปเขาเรียกว่า Yield แท้จริง Yield แท้จริงของสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ลบ 1% ก็คือ Yield แท้จริงนั่นแหละที่มันมีผลต่อราคาทอง เมื่อ Yield แท้จริงปรับตัวลง ราคาทองก็เป็นขาขึ้น ถ้า Yield แท้จริงปรับตัวขึ้น ราคาทองก็เป็นขาลง

ทีนี้ Yield แท้จริง ลบ 1% มันมีความหมายอย่างไร คือมันต่ำมาก เรียกว่าต่ำเป็นประวัติการณ์ทีเดียว เพราะระดับต่ำตอนปี 2012 หรือประมาณ 8 ปีที่แล้ว ตอนนั้น Yield แท้จริงลงไปลบ 0.9 กว่าๆ แต่ก็ดีดตัวกลับขึ้นมา แล้วทองก็กลับเป็นขาลงระยะยาว พอ Yield แท้จริงปรับตัวขึ้น ซึ่ง Yield แท้จริงรอบนี้ลงมาถึงลบ 1% ต่ำมากแล้ว มีบางช่วงลงไปถึงลบ 1.08 ซึ่งต่ำสุดของรอบนี้ แล้วหลังจากนั้นก็ดีดตัวขึ้น จังหวะที่ดีดตัวขึ้นจากลบ 1.08 ขึ้นมาจนเหลือลบ 1 ก็จะเห็นว่าราคาทองลงมาหลายร้อยเลย แล้วหลังจากนั้นทองก็รีบาวด์ เพราะ Yield แท้จริงกลับลงไปใหม่อยู่แถวๆ ลบ 1

ส่วนตัวมีมุมมองว่า Yield แท้จริงมีการบริหารจัดการทางอ้อมโดยเฟด เขาบริหารจัดการ Yield แท้จริงให้อยู่ในระดับหนึ่งๆ ณ เวลาหนึ่งๆ แล้วเขาก็จะดูเศรษฐกิจควบคู่กันไปว่า เศรษฐกิจรับไหวหรือไม่ เศรษฐกิจพอไปได้หรือไม่ ถ้าเศรษฐกิจพอไปได้ เขาก็พยายามบริหารจัดการทางอ้อมด้วยวิธีการสื่อสาร ด้วยวิธีการกำหนดดอกเบี้ย วิธีการทำ QE เพื่อคงระดับ Yield แท้จริงให้อยู่ประมาณนั้น ส่วนตัวมองจากตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาแล้วก็เชื่อว่า Yield แท้จริงน่าจะอยู่ระดับนี้ น่าจะเอาอยู่ อย่างช่วงที่ผ่านมา ดู PMI ของสหรัฐอเมริกาเอง ประมาณบวก 5 แล้วตัวเลขเศรษฐกิจอื่นๆ เขาก็ดูไม่ค่อยแย่ แล้วประชุมเฟดเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็เหมือนถ้าเป็นนักมวยก็ฟุตเวิร์กไปเรื่อยๆ ไม่ออกหมัดอะไรเลย

เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นแบบนี้ Yield แท้จริงอยู่นิ่งๆ ตามหลักการแล้วราคาทองก็จะไม่ค่อยไปไหน แต่ถ้านักลงทุนที่อยู่ในกองทุนทองเขาอยากจะให้ราคาทองขึ้น แต่ถ้าราคาไม่ค่อยไปไหน คิดว่าเขาจะทำอะไร เขาอาจจะขาย เพราะฉะนั้นราคาทองตอนนี้ถ้าดู Yield แท้จริงซึ่งเป็นปัจจัยหลักมันก็ควรจะอยู่ตรงนี้ ก็ไม่น่าจะปรับตัวขึ้นต่อ แต่ถ้าไปประกอบกับความคาดหวังของคนที่ซื้อทองเข้าไปแล้วก็อยากให้มันขึ้น พอมันไม่ขึ้น เขาก็ไปหาอย่างอื่นที่มันขึ้น เพราะฉะนั้นยังอาจจะมีแรงเทขายที่ยังอาจจะไม่หมด แล้วถ้าเป็นอย่างนี้เรื่อยๆ กองทุนต่างๆ ที่ลงทุนในทองคำซึ่งทำให้มีเงินไหลเข้าไปในทองมากเป็นประวัติการณ์ แต่ถ้ามีการไหลออกกลับทาง คือมีการขายทองก็อาจจะเป็นปัจจัยเสี่ยงขาลงของทองคำ ตอนนี้ถ้ามุมมองส่วนตัวเรียกว่าไม่ชอบทองคำก็แล้วกัน

แต่ว่าถ้าเทียบกับอีกสิ่งหนึ่ง ตรรกะขาขึ้นของทองเป็นแบบนี้ แต่ตรรกะขาขึ้นของอีกสิ่งหนึ่งที่พึ่งพาการปรับตัวลงหรือว่าการมีระดับต่ำๆ ของ Yield ก็คือหุ้นเทคโนโลยีหรือว่าหุ้นที่เติบโตสูง ซึ่งหุ้นเติบโตสูง Yield แท้จริงหรือว่า Yield ธรรมดาก็ได้ แค่ Yield ต่ำก็พอ ไม่ต้องลงต่อ ส่วนทองสรุปก็คือ Yield ต่ำไม่พอ ต้องลงต่อ แค่ Yield ต่ำ ทองจะไม่ขึ้นต่อ ต้องให้ Yield ลงอีกทองถึงจะขึ้น แต่ว่าหุ้นเทคโนโลยีหรือว่าหุ้นเติบโตสูง แค่ Yield ต่ำก็พอแล้ว Yield ไม่ต้องลงต่อก็ได้ เพราะหุ้นเทคโนโลยีหรือหุ้นเติบโตสูงมีการเติบโตด้วยตัวมันเอง เห็นงบที่ออกมาอย่างอาลีบาบา หุ้นเทคโนโลยีทางฝั่งของจีน ทางฝั่งของเอเชีย กำไรมีการเติบโตของกำไรเป็น 100% รายได้ก็โตหลายสิบเปอร์เซ็นต์ ในขณะที่เศรษฐกิจก็เป็นแบบนี้ เพราะบริษัทเหล่านี้เขาได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลง New Normal เรื่องของอะไรๆ ก็ทำเป็นออนไลน์ และบริษัทเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นในสหรัฐอเมริกาหรือในจีนก็มีการเติบโตที่สูงด้วยตัวของเขาเอง Yield ต่ำหรือดอกเบี้ยต่ำแค่มาช่วยเสริม ทำให้นักลงทุนยอมรับระดับราคาหุ้นที่สูงขึ้น ซึ่งตามหลักของการคิดเรื่องคณิตศาสตร์ คือ Yield ต่ำจะทำให้ราคาสินทรัพย์แพงขึ้น

เพราะฉะนั้นตรงนี้ Yield ต่ำก็พอแล้ว เพราะบริษัทพวกนี้มีการเติบโตของตัวเอง แล้วราคาหุ้นก็จะเติบโตขึ้นไป ดังนั้น ณ ตอนนี้ที่น่าสนใจคือหุ้นเติบโตสูง หุ้นเทคโนโลยี แต่ว่าไม่ได้สนใจเรื่องทองแล้ว ตรงนี้เป็นภาพใหญ่อันนึง

มองว่าทองคำราคาตอนนี้ไม่ค่อยมีเหตุมีผล ไม่ค่อยมีอนาคตแล้ว

เรื่องราคาเราไม่รู้เลยว่ามันจะเป็นอย่างไรต่อ แต่ตามหลักส่วนตัวที่ใช้ตรรกะ ถ้าตรรกะมันไม่ได้ ก็ไม่ลงทุน แต่ว่าราคาเป็นเรื่องของผลลัพธ์ที่เราควบคุมไม่ได้ แต่ว่าเราควบคุมการตัดสินใจตามหลักเหตุผลเท่าที่เราจะคิดได้ ก็จะเป็นแบบนี้

ควรจะลงทุนในบรรดาหุ้นกู้ พวกบอนด์ไหม

หุ้นกู้หรือตราสารหนี้ ส่วนตัวขอมองภาพรวมของตราสารหนี้ก่อน ก็จะมีทั้งในประเทศและต่างประเทศ ถ้ามองในอีกแง่มุมหนึ่งก็จะมีตราสารหนี้ภาครัฐที่เรียกว่าพันธบัตร และก็เรื่องของหุ้นกู้ ถ้าดูตัวเลือกของในประเทศก็จะมอง 2 ด้าน มีด้านบวกแล้วก็มีด้านลบว่ามันจะขึ้นหรือมันจะลง เอาเป็นว่ามองด้านลงก่อน ก็คือด้านลง ณ ตอนนี้ถ้าท่านลงทุนตราสารหนี้ไม่ว่าจะเป็นพันธบัตรหรือหุ้นกู้ มองว่าความเสี่ยงเป็นขาลง ความเสี่ยงที่จะลงไปเยอะๆ นั้นค่อนข้างน้อยเพราะถ้าราคาพันธบัตรจะลง Yield พันธบัตรหรือดอกเบี้ยจะต้องขึ้นแรงๆ คิดว่าเป็นไปได้หรือไม่ ส่วนตัวว่าน้อยมาก เพราะเศรษฐกิจก็เป็นแบบนี้อย่างที่เห็น ไม่ได้ดีมาก เพราะฉะนั้นดอกเบี้ยจะขึ้นยากมาก เพราะฉะนั้นพันธบัตรไทยหรือว่าพันธบัตรต่างประเทศเอง ความเสี่ยงขาลงก็มีไม่มาก

ส่วนหุ้นกู้ ความเสี่ยงของมันคืออะไร คือการผิดนัดชำระ หรือความกังวลว่าจะผิดนัดชำระ คือยังไม่ทันผิดนัดชำระแต่คนกังวล ก็ขาย Yield หุ้นกู้ก็เด้ง ตรงนี้จะเป็นเหมือนเดือนมีนาคมหรือไม่ ส่วนตัวคิดว่าไม่ แม้ว่าจะมีคนกังวลว่าเดี๋ยวจะมีการครบดีล ครบอายุของหุ้นกู้อะไรต่างๆ คือมันครบอายุก็จริง แต่นักลงทุนมีการเรียนรู้ ซึ่งการเรียนรู้นั้นรู้ว่าในช่วงเดือนมีนาคมคืออะไร ถ้ามีปัญหาสภาพคล่องไม่พอ ไปขอรีไฟแนนซ์กันในตลาดแล้วไม่พอ ธนาคารกลางทั้งในและต่างประเทศเขาก็มีเครื่องไม้เครื่องมือและมีความต้องการที่จะเข้ามาช่วยอยู่แล้ว และเข้ามาช่วยในลักษณะที่เรียกว่าเอาอยู่ ความจริงไม่อยากใช้คำนี้ แต่ว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็คือเอาอยู่ เอาอยู่คืออะไร คือตั้งโต๊ะซื้อ พอตั้งโต๊ะไว้ บางทีไม่ต้องซื้อจริงๆ ก็ได้ ในช่วงที่ผ่านมาแบงก์ชาติ ธนาคารกลางอาจจะไม่ต้องเข้ามาซื้อจริงๆ ก็ได้ ถ้าตั้งโต๊ะไว้นักลงทุนรายอื่นๆ ก็อุ่นใจ เขาก็รีไฟแนนซ์ให้ต่อ ได้ซื้อหุ้นกู้ตัวใหม่แทนตัวเก่า อย่างนี้มันก็ผ่านไปได้เป็นรอบๆ

หนี้สินในระบบของโลก ณ ตอนนี้มันสูงก็จริง แต่สูงเป็นเพราะดอกเบี้ยต่ำ พอดอกเบี้ยต่ำ คุณมีหนี้เยอะขึ้น คุณอาจจะจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นหรือน้อยลงก็ได้ เพราะว่าเปอร์เซ็นต์ดอกเบี้ยที่น้อยลงมากๆ มันไปคูณกับเงินต้นที่เยอะขึ้น แต่ถ้าเงินต้นเยอะขึ้นไม่พอ ก็อาจจะทำให้ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยของคุณลดลงก็ได้ เพราะฉะนั้นในปัจจุบันพอบอกว่าหนี้มันสูงเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นหนี้สาธารณะหรือหนี้เอกชน มันสูงขึ้นได้ เพราะดอกเบี้ยมันต่ำมาก และดอกเบี้ยก็ต่ำไปเรื่อยๆ แบบนี้ เพราะมันขึ้นไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นถ้าเป็นการลงทุนตราสารหนี้ ส่วนตัวคิดว่าความคุ้มค่าในการลงทุนอยู่ที่ว่าถ้าท่านสามารถรับความเสี่ยงต่างประเทศได้ ก็อาจจะไปลงทุนที่ต่างประเทศ เพราะตลาดมันกว้างกว่า ตราสารมี Yield สูงกว่าในประเทศก็ได้ อาจจะผสมส่วนผสมระหว่างการลงทุนระดับลงทุน 3B ขึ้นไป และมีบางส่วนเป็น High Yield หรือตั้งแต่ 2B ลงมา ก็พอได้ ก็ให้มืออาชีพดู ให้ผู้จัดการกองทุนที่เขาชำนาญที่เขามีเรคคอร์ดมีการบริหารที่ดี ช่วยดูให้ ก็จะสามารถช่วยท่านได้กำไรจากการลงทุน

ช่วงที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติขายพันธบัตรในไทยออกไปเยอะ แบบนี้เป็นการส่งสัญญาณอะไร

ความจริงมีอยู่หลายสาเหตุ บางทีเขาขายพันธบัตรหรือหุ้น เพราะเขามองเป็นสินทรัพย์ที่เป็นสกุลเงินบาท สมมุติ ณ ตอนนั้นเขาไม่อยากถือเงินบาท ไม่ว่าเหตุผลใดๆ ก็จะขาย อย่างนี้เป็นต้น หรือว่าเขาอาจจะหมุน สมมุติว่าออกจากหุ้นไปเข้าบอนด์ ออกจากบอนด์ไปเข้าหุ้นในประเภทเดียวกัน ก็อาจเป็นเรื่องของมุมมองเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ชั่วข้ามวัน ขึ้นอยู่กับว่าภายใต้เงื่อนไขอะไร ณ ตอนนี้ ส่วนตัวเชื่อว่าเป็นเงื่อนไขในเรื่องของนโยบายเศรษฐกิจเป็นเรื่องสำคัญ เรื่องของนโยบายเศรษฐกิจ เรื่องการเงินการคลัง ณ ปัจจุบันเกมเป็นอย่างไร Fund Flow จะเข้าในประเทศไหน อยากจะเข้ามากกว่าออก ก็น่าจะเป็นประเทศที่มีการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ค่อนข้างแรง การลงทุนจะเข้าหาการเติบโต เข้าหาการฟื้นตัว ในขณะที่กระตุ้นเศรษฐกิจมันมีหนี้เพิ่มไม่ใช่หรือ ซึ่งตอนนี้ทั้งโลกอาจยอมรับหนี้สินในระดับที่สูงขึ้นได้ด้วยหลักการอย่างที่ว่ามาคือดอกเบี้ยมันต่ำเหลือเกิน ตอนนี้คุณก็ต้องพูดอย่างนี้ ก็กู้ไปเถอะมันเหมือนนาทีทอง

ประเทศอันดับหนึ่งอย่างสหรัฐอเมริกาที่เขากำลังฟุบอยู่ พอเขาฟุบอยู่ เขากู้แบบเอาเป็นเอาตายเลยนะ เขาปั๊มเงิน ปั๊มแบบไม่หยุด เพราะฉะนั้นเมื่อประเทศอื่นๆ ทำแบบเขาบ้าง แต่อาจจะไม่เท่าเขา กลายเป็นว่านักลงทุนรวมไปถึงสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือต่างๆ เขาไม่ว่าอะไร เขาบอกว่าสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำ เขาก็ทำอยู่ แล้วก็หลับตาสักข้างหนึ่ง แล้วเขาก็มากู้กันเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ มองว่าเป็นโอกาสทอง โอกาสดี ที่จะทำให้กระตุ้นอย่างทั่วถึงในระดับนโยบายที่นำเงินไปใช้อย่างคุ้มค่า แล้วก็กระจายอย่างทั่วถึง บรรเทาความเดือดร้อนอย่างทั่วถึง อันนี้ก็น่าจะดีที่จะไม่ต้องกังวลเรื่องของหนี้สาธารณะ ส่วนตัวเข้าใจว่าฝั่งของแบงก์ชาติเอง ทางผู้ว่าฯ เอง ท่านก็ชี้ในเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แม้ว่า ณ ปัจจุบันถ้าเกิดว่าจะกู้เพิ่มก็ไม่น่าเป็นไรถ้ามีการบริหารจัดการที่ดี มันก็เป็นโอกาสเพราะทั่วโลกก็ทำกันทั้งนั้น

ในประมาณ 4 เดือนที่เหลือของปีนี้ ควรจับตาเรื่องอะไรบ้าง

จุดสำคัญของการลงทุนทั่วโลกส่วนตัวจะดูนโยบายเป็นหลัก ประเด็นหลักของการลงทุนหรือการปรับกลยุทธ์ส่วนตัวจะมีหลัก 3P คือ Policy, Price และ Position ตัว P ที่สอง ปัจจุบันยอมรับว่ามีบทบาทน้อยลงมาก เพราะแต่ก่อนส่วนตัวชอบของถูกมาก เพราะดอกเบี้ยมันต่ำนานๆ ทำให้เรารับราคาที่สูงขึ้นได้ แต่นักลงทุนตอนนี้มีสองความต้องการ คือหนึ่งต้องการมีรายได้ประจำ เขาเรียกว่า Yield สองคุณต้องการการเติบโต

ถ้าต้องการรายได้ประจำเขาอาจไม่ต้องการ Yield ที่สูงมาก แต่เขาต้องการความชัวร์ จ่ายคูปองชัวร์ จ่ายเงินต้นชัวร์ ไม่อย่างนั้นก็ไปลงมุนในตราสารหนี้ ตราสารหนี้เครดิตก็ได้ หุ้นกู้ High Yield อะไรก็ได้ เพราะธนาคารกลางเขามาช่วยอุ้ม ว่าอย่างนั้น

แต่ว่าทางฝั่งที่ต้องการ Growth หรือการเติบโต ก็ขอให้มีการเติบโตที่เห็นๆ อย่างเช่น พวกธุรกิจออนไลน์ พวกที่มากับ New Normal เราก็จะยอมซื้อในราคาที่สูงขึ้น เห็นหุ้นรถยนต์ไฟฟ้ายี่ห้อหนึ่งหรือไม่ พุ่งขึ้นไปมาก มีล้อเลียนว่าราคาเขาพุ่งทะลุทองไปแล้ว นักลงทุนตอนนี้ไม่ค่อยสนใจว่าการเติบโตจะมาเมื่อไหร่ จะมาช้ามาเร็วก็ได้ เพราะตอนนี้อัตราดอกเบี้ยมันต่ำเหลือเกิน คนจึงยอมลงทุนเพื่อซื้อการเติบโตในอีก 3-5 ปีข้างหน้าก็ได้ เขายอมซื้อวันนี้เลยเพราะดอกเบี้ยมันต่ำ นี่คือเกม ณ ปัจจุบัน เพราะฉะนั้นก็จะชอบหุ้นเทคโนโลยี ส่วนตัวอาจจะชอบหุ้นทางฝั่งของจีน ฮ่องกง สหรัฐอเมริกา และหุ้นจีนในแผ่นดินใหญ่ถือว่าน่าสนใจมาก ตอนนี้เศรษฐกิจจีนดีเหลือเกิน อู่ฮั่นก็มีจัดปาร์ตี้ในน้ำ เขาถามว่าประเทศอื่นอิจฉาเขาหรือเปล่า เพราะเขาฟื้นได้เร็ว เขาควบคุมโรคได้ แต่ตอนนี้ประเทศอื่นค่อนข้างจะมีนโยบายที่จะลดพึ่งพาจีน เพราะฉะนั้นการส่งออกของจีนเรียกว่าแทบจะยากมาก ก็จะเน้นการบริโภคในประเทศ ดึงการจ้างงานเข้ามาในประเทศ และโอกาสเหล่านี้มันจะกลับมา

ลองนึกภาพคนจีนดู แทนที่จะออกมาใช้จ่ายนอกประเทศ เขาก็จะใช้จ่ายในประเทศ ดังนั้นโอกาสในหุ้นจีนที่มีตั้ง 4 พันกว่าตัวในเซี่ยงไฮ้ เสินเจิ้น เรียกว่ายังมีโอกาสไปไกลเลย แล้วนโยบายของจีนเวลาลงทุนไม่ต้องไปหวังว่า Fund Flow จะไหลเข้า ไม่ต้องนะ แค่คนจีนซื้อก็พอ การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์หรือว่าการที่สหรัฐอเมริกาไม่ขึ้นดอกเบี้ย ทำให้จีนกำหนดนโยบายได้ตามใจของเขา อยากลดดอกเบี้ย อยากกระตุ้นเศรษฐกิจก็ได้ ไม่ต้องกลัวเงินไหลออก เพราะฉะนั้นตอนนี้หุ้นจีนเป็นตัวหลักตัวนำเลย ในกลยุทธ์ส่วนตัวเรียกว่าทั้ง Onshore และ Offshore ของ KTAM เราก็จะมีหลายกองทุนโดยมี เคทีไชน่าที่เป็นตัวหลักเลย

สรุปก็คือว่าสำหรับการลงทุนในไทย ห้ามปักหมุด ไปปักหมุดที่อื่น

ก็ได้ยินมาอย่างนี้ด้วย การลงทุนในไทย ถ้าจะอยู่กับหุ้นไทย จะต้องมีเงื่อนไขก็คือว่าต้องมีนโยบายกระตุ้น ส่วนตัวไม่ได้หวังแค่ดอกเบี้ย แต่หวังการกระตุ้นทางด้านการคลัง ซึ่งตอนนี้มีทีมเศรษฐกิจใหม่ ก็จะมีนโยบายต่างๆ ออกมาทางฝั่งการคลัง เพราะฉะนั้นหุ้นไทยอย่าดูเบา ถ้าดูเบาเท่ากับเราใกล้เกลือกินด่าง แต่ทั้งนี้ขึ้นกับนโยบาย ต้องเห็นสัญญาณว่ามีนโยบายการคลังที่ดีๆ นะ กระตุ้นเศรษฐกิจแรงๆ นะ ส่วนตัวอยู่หุ้นไทยเลย ส่วนตัวมองว่าจะเป็นกระทิงไทยเลย

30 views
bottom of page