แรงกดดันยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง
- Dokbia Online
- Feb 20, 2020
- 2 min read

แม้ว่าความกังวลจากสถานการณ์ของไวรัสโควิด-19 จะยังคงมีอยู่ หลังคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีน (NHC) ออกมาแถลงว่าในวันที่ 12 ก.พ. 2563 เพียงวันเดียวมีจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่ เพิ่มขึ้น 14,840 ราย สู่ระดับ 48,206 ราย ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่มีการรายงานข้อมูล ส่วนจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 242 ราย แตะที่ระดับ 1,310 ราย สาเหตุที่ทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ในมณฑลหูเป่ยพุ่งสูงขึ้นนี้ เนื่องจากมีการปรับเปลี่ยนเกณฑ์การคำนวณ โดยให้นับรวมผู้ติดเชื้อที่ได้รับการวินิจฉัยทางคลินิกด้วย
อย่างไรก็ดีดูเหมือนตลาดหุ้นโลกเริ่มสะท้อนปัจจัยดังกล่าวไปพอสมควรแล้ว สะท้อนออกมาจากการที่ในสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนี MSCI ACWI ของตลาดหุ้นโลกยังคงปรับตัวขึ้นต่อได้ราว 0.53% นำมาโดยตลาดหุ้นสำคัญๆของโลก อย่างตลาดหุ้นสหรัฐ, ยุโรป, จีน และ Asia ex Japan ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.84%, 1.31%, 1.54% และ 0.55% ตามลำดับ ขณะที่ตลาดการเงินทั่วโลกได้ปัจจัยหนุนเพิ่มเติมจากภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมของจีนก็เริ่มทยอยเปิดการดำเนินงานตามปกติ หลังจากที่รัฐบาลจีนสั่งขยายช่วงวันหยุดเทศกาลตรุษจีนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
นอกจากนี้ธนาคารกลางจีนจัดหาเงินกู้วงเงินรวมประมาณ 4.3 หมื่นล้านดอลลาร์ ให้กับธนาคารพาณิชย์ และธนาคารเฉพาะกิจ โดยมีเป้าหมายที่จะลดผลกระทบของไวรัสโควิด-19 ที่กำลังแพร่ระบาด ขณะที่รัฐบาลจีนประกาศอัดฉีดงบประมาณกว่า 3 ล้านหยวน และผ่อนปรนภาษีให้กับบริษัทต่างๆที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
อย่างไรก็ตามในเชิงของแนวโน้มในระยะต่อไป ตลาดหุ้นโลกอาจจะมีกรอบการปรับตัวขึ้น หรือ Potential Upside Gain ได้ไม่ไกลนัก เพราะเวลานี้สิ่งที่ทำให้นักลงทุนในตลาดกังวลมากขึ้นอย่างมากคือความไม่โปร่งใสของข้อมูลจากรัฐบาลจีนมากกว่า โดยเฉพาะหลังจากที่ Larry Kudlow ที่ปรึกษาเศรษฐกิจสหรัฐออกมาระบุว่า สหรัฐเริ่มไม่มั่นใจกับตัวเลขที่จีนรายงานออกมา โดยเฉพาะการที่จีนเปลี่ยนวิธีนับผู้ติดเชื้อแล้ว
อย่างไรก็ดีมีแนวโน้มว่าทิศทางของตลาดหุ้นโลกจะไม่เป็นไปในทางเดียวกันทั้งหมด โดยตลาดหุ้นเอเชียมีแนวโน้มที่จะเป็นขาลงต่อไปในระยะสั้น โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยที่ “นายหมูบิน” ยังคงยืนยันมุมมองเดิมในทางเทคนิคว่าการที่ SET เปิด Gap Down หลุดแนวรับบริเวณ 1,547 จุดลงมาตั้งแต่วันที่ 27 ม.ค. 2563 ถือเป็นการยืนยันรูปแบบ Descending Triangle และแนวโน้มต่อเนื่องขาลง โดยบริเวณ 1,450 จุดจะเป็นแนวรับต่อไปของ SET
ตรงกันข้ามกับตลาดหุ้นขนาดใหญ่อย่างสหรัฐ และยุโรปยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น โดยเฉพาะสหรัฐที่ปัจจัยพื้นฐานยังคงแข็งแกร่งมากๆ สะท้อนออกมาจากการที่ Jerome Powell ประธานเฟดระบุว่าแม้เศรษฐกิจสหรัฐจะมีการขยายตัวปานกลาง แต่ปัจจัยพื้นฐานที่ช่วยสนับสนุนการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนก็ยังคงมีความแข็งแกร่ง และตลาดแรงงานมีการจ้างงานจำนวนมาก ขณะเดียวกันเฟดกำลังจับตาผลกระทบของไวรัสโคโรนาที่จะมีเศรษฐกิจจีนและทั่วโลกว่าจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐแค่ไหน
ทั้งนี้การทำ Repo Operation ของเฟดตั้งแต่เดือน ต.ค. 2562 สามารถบรรลุเป้าหมายได้เป็นอย่างดี โดยได้ทำการสัญญาซื้อพันธบัตรเป็นวงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่งผลให้เฟดจะค่อยๆลดการเข้าซื้อพันธบัตรลง
นอกจากนี้ผลกระทบจากไวรัสโคโรนาได้เปลี่ยนมุมมองของนักลงทุนในตลาดการเงิน จากเดิมคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยในปี 2563 แต่ถ้าพิจารณาจากทิศทางของ Fed Funds Future ล่าสุดก็บ่งชี้ว่ามีโอกาสราว 80% ที่ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยราว 1 ครั้งในปีนี้
ตลาดหุ้นไทยพื้นฐานอ่อนแอ ! ปัจจัยพื้นฐานที่อ่อนแอยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันตลาดหุ้นไทย โดยที่มุมมองดังกล่าวสะท้อนออกมาจากประเด็นของ Earnings Revision ที่ล่าสุดในสัปดาห์ที่ผ่านมา Bloomberg Consensus ปรับประมาณการการขยายตัวของกำไรสุทธิในตลาดหุ้นไทยลงอีก 0.7% ลงมาอยู่ที่ 4.4% ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปี 2563 ปรับประมาณการการขยายตัวของกำไรสุทธิในตลาดหุ้นไทยลงมาแล้วถึง 5.2% มากกว่าเทียบกับการที่ตั้งแต่ต้นปี 2563 Bloomberg Consensus ปรับประมาณการการขยายตัวของกำไรสุทธิในตลาดหุ้นโลก สหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น และ Asia ex Japan ลง 3.7%, 3.1%, 1.25%, 0.4% และ 3.3% ตามลำดับ
ขณะที่อัตราการขยายตัวของกำไรสุทธิปี 2563 ในตลาดหุ้นไทยที่ 4.4% ยังถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับอัตราการขยายตัวของกำไรสุทธิปี 2563 ในตลาดหุ้นโลก สหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น และ Asia ex Japan ที่ 11.1%, 6.4%, 6.4%, 8.0% และ 10.5% ตามลำดับ
ส่วนในเชิงของ Valuation สะท้อนว่าตลาดหุ้นไทยค่อนข้างแพง โดยที่ปัจจุบันระดับ P/E Ratio ของตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ระดับ 18.0 เท่า สูงกว่า หรือมี Premium เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 17.0 เท่าถึง 5.9% ขณะที่ P/E Ratio ที่ระดับดังกล่าวยังคงมากกว่าของดัชนี Asia ex Japan ที่ 15.6 เท่า ถึง 15.4%
นอกจากนี้ถ้าเทียบในส่วนของ P/BV Ratio จะพบว่าตลาดหุ้นไทยปัจจุบันซื้อขายอยู่ที่ระดับ P/BV Ratio ราว 1.6 เท่า ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยระยะยาว แต่ P/BV Ratio ที่ระดับดังกล่าวยังคงมากกว่าของดัชนี Asia ex Japan ที่ 1.5 เท่า ถึง 6.7%
ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) กรณีที่ SET ยังคงไม่สามารถกลับไปปิดในกรอบ 1,547 จุด เน้น “ดีดขึ้นขาย” ในลักษณะ “Short Against” เพื่อรอกลับมาทยอยสะสมหุ้น PTTGC, PTTEP, BCP, EGCO, TISCO, SCC, HMPRO, AOT และ ADVANC อีกครั้ง สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “ลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นมาอยู่ที่ระดับ 50% ของพอร์ต”
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/wealthhuntersclub และ e-mail ที่ moobin.stockmania@gmail.com แล้ว แฟนๆยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น.เช่นเดิมครับ
ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)

Source: Wealth Hunters Club
Comments