top of page
312345.jpg

ทรัมป์ปลุกผีสงครามจีน = เกมการเมือง...หวังได้เป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2



"เรื่องสงครามการค้ารอบใหม่ คาดการณ์ยากจริงๆ แต่เชื่อว่าโดยการทำนโยบายของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ผ่านมา คิดว่ามันเป็นลบกับวิถีการคิดแบบ Globalization หรือการเปิดเสรีทางการค้าอยู่แล้ว"


รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการศูนย์อาเซียนศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็น กรณีสงครามการค้ารอบใหม่ ที่ประธานาธิบดีทรัมป์ฮึ่มใส่จีน โดยใช้เรื่องสถานการณ์โรคโควิดเป็นตัวจุดชนวนว่า น่าจะเป็นเรื่องทางการเมืองมากกว่า เนื่องจากในอเมริกากำลังจะมีการเลือกตั้งใหญ่ประธานาธิบดีกันในปลายปี 2563 นี้ และแน่นอนว่าประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการที่จะสร้างคะแนนเสียงให้ได้มากที่สุดนับจากนี้ไป


รศ.ดร.ปิติ กล่าวกับ “ดอกเบี้ยธุรกิจ” ว่าโดยปกติแล้ว การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา นั้น หากประธานาธิบดีจะได้กลับมาเป็นประธานาธิบดีรอบ 2 แบบการันตี สำหรับพรรครีพับลิกัน จะมีทฤษฎีกันอยู่ว่า ถ้าเป็นประธานาธิบดีในช่วงภาวะวิกฤต หรือในช่วงสงคราม ส่วนใหญ่จะได้กลับมาเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2

“ก็เลยเป็นเหตุผลว่าทำไม โดนัลด์ ทรัมป์ จึงออกมาพูดมากมายใหญ่เลยเกี่ยวกับผลกระทบของโควิด-19 ว่าการที่มีคนอเมริกาติดเชื้อและเสียชีวิตเป็นจำนวนมากนี้ไม่ใช่ความผิดของสหรัฐอเมริกานะ แต่มาจากจีน บอกว่านี่เป็นการคุกคามภายนอก เปรียบเสมือนกับกรณี เพิร์ลฮาร์เบอร์ เสมือนกับ 911 ทรัมป์กำลังจะบอกว่านี่คือช่วงที่เป็น วอร์ไทม์เพรสซิเดนต์ เขาเป็นประธานาธิบดีในช่วงสงคราม...เขาอยากจะกลับมา”

รศ.ดร.ปิติกล่าวตั้งข้อสังเกตอีกว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ส่งสัญญาณว่าถ้าเกิดสถานการณ์แบบนี้พรรครีพับลิกันจะได้กลับมา ถ้ามีคนไปเลือกตั้งพรรครีพับลิกันมักจะได้กลับมา

“คนที่สนับสนุนพรรครีพับลิกัน สนับสนุน โดนัลด์ ทรัมป์ คือพวกที่บอกให้เปิดเมือง พวกนี้ไม่กลัวอยู่แล้ว จะไปเข้าคูหา จะไปกาบัตรเลือกตั้ง และแน่นอนคนกลุ่มนี้สนับสนุน โดนัลด์ ทรัมป์ อยู่แล้ว ตรงนี้จะทำให้เขากลับมา

เพราะจริงๆ การดำเนินนโยบายหลายอย่างของ โดนัลด์ ทรัมป์ ตอนนี้ก็ดำเนินนโยบายไปเพื่อให้เขากลับมาในการเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายนนี้

ดังนั้นเรื่องสงครามการค้ารอบใหม่ สำหรับ โดนัลด์ ทรัมป์ จึงคาดการณ์ยากจริงๆ แต่เชื่อว่าโดยการทำนโยบายที่ผ่านมาคิดว่ามันเป็นลบกับวิถีการคิดแบบ Globalization หรือการเปิดเสรีทางการค้าอยู่แล้ว”

ทั้งนี้ เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ประธานาธิบดีทรัมป์ มีท่าทีขึงขังชัดเจนมากขึ้นอีกครั้ง จนทำให้ทั่วโลกกังวลกับเรื่องของสงครามการค้ารอบใหม่ หลังจากที่กรณีนี้เป็นปัจจัยที่ซาลงไปมากหลังจากที่ทำท่าจะตกลงกันได้ระหว่างสหรัฐและจีน รวมถึงเกิดกรณีโรคโควิด-19 ที่ออกมากลบข่าวทุกข่าวในโลกนี้ โดยคราวนี้ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศออกมาเองว่า “จะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนรอบใหม่ เพื่อตอบโต้จีนที่เป็นต้นตอการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19”

การแสดงทีท่าของสหรัฐเช่นนี้ ส่งผลให้ตลาดเงิน-ตลาดทุน มีปัจจัยที่น่ากังวลเรื่องนี้กลับมาอีกครั้ง

รายงานจาก Fox Business Network รายงานว่า ประธานาธิบดี ทรัมป์ ระบุว่าเขาไม่อยากคุยกับประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง และต้องการตัดความสัมพันธ์ทางการค้าทั้งหมด เหตุจากทรัมป์เชื่อว่าจีนเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการปล่อยไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ COVID-19 เพื่อโจมตีสหรัฐ และว่าหากตัดสัมพันธ์จริง สหรัฐจะประหยัดเงินถึง 500,000 ล้านดอลลาร์ ส่วนข้อตกลงการค้าเฟสแรก ที่ได้ลงนามเมื่อเดือนมกราคม 2563 นั้นจะไม่มีการเจรจาใหม่ แถมเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนในปักกิ่งก็มีแผนชั่งใจอยู่แล้วว่าจะล้มดีลหรือเจรจาใหม่

จากข่าวนี้ที่ออกมาทำให้ดัชนีดาวโจนส์ รับข่าวร่วงกว่า 1.43% ทันที ซึ่งนับเป็นปัจจัยที่สร้างความตึงเครียดรอบใหม่เกี่ยวกับสงครามการค้าสหรัฐ-จีนขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งที่ดูท่าทีว่าจะดีขึ้นหลังจีนประกาศยกเว้นภาษีนำเข้าให้สินค้าสหรัฐจำนวน 79 รายการไปแล้วก่อนที่จะมีเรื่องโรคระบาดโควิด

ด้าน มิสเตอร์เมสเซนเจอร์ ได้แสดงความเห็นในบทความของกลุ่ม FINNOMENA โดยตั้งข้อสังเกตว่า ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จีนได้มีการขยายขอบเขตไปมากโดยเฉพาะโครงการ Belt and Road Initiative รวมไปถึงแผนการกินรวบ Supply Chain ของโลก และสร้างนวัตกรรมจากเทคโนโลยีเพื่อผลิตสินค้าตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ เริ่มทำให้ความสัมพันธ์ของจีนและสหรัฐ มีความไม่แน่นอนสูงขึ้น เพราะสหรัฐเสียดุลการค้าให้กับจีนอย่างหนักมาตลอด

ขณะที่นโยบาย America First จากประธานาธิบดีทรัมป์ ที่หาเสียงไว้ก่อนจะมาดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐในปี 2016 ก็ทำให้สหรัฐตัดสินใจทำสงครามการค้าครั้งแรก ขึ้นภาษีนำเข้า 2 รอบกับจีน ในวงเงินสินค้าสูงถึง 400,000 ล้านดอลลาร์ ทำให้เป็นปัจจัยลบปกคลุมตลาดหุ้นทั่วโลกซึมทั้งปี 2018 และจีนก็มีการตอบโต้กลับสหรัฐ แสดงทีท่าไม่อ่อนข้อ และสหรัฐก็ไม่ได้พุ่งเป้าไปโจมตีเพียงแห่งเดียว มีการฉีกสัญญา NAFTA เพื่อเขียนใหม่ให้เป็นประโยชน์กับอเมริกามากยิ่งขึ้น รวมถึงเก็บภาษีนำเข้าจากยุโรป และขู่ญี่ปุ่นอยู่เนืองๆ แต่โลกก็รู้ว่า คู่ต่อสู้ที่อเมริกาเล็งเป้าโจมตี ก็คือจีนอยู่ดี

จากสงครามการค้าได้ลามเป็นสงครามเทคโนโลยี Trade War สู่ Tech War

“แม้ว่าการเกิดขึ้นของวิกฤต COVID-19 จะไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับสงครามการค้าสหรัฐ-จีน แต่สิ่งที่เห็นก็คือ ความบาดหมางระหว่าง 2 มหาอำนาจดูเหมือนจะรุนแรงขึ้น Supply Chain ของโลกดูจะยังมีปัญหาหนัก ถึงแม้จะเริ่มมีการย้ายค่ายจาก Trade War ในปี 2018 แต่ก็เป็นส่วนน้อยมาก สายการบินระหว่างประเทศหลายแห่งได้ปิดเส้นทางการบินไปยังประเทศจีนในช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ. และตามมาด้วยปิดการเดินทางทางอากาศทั้งหมดในโลก

มิสเตอร์เมสเซนเจอร์ยังระบุว่า วิกฤต COVID-19 ทำให้เกิด New Normal การย้ายฐานการผลิต เช่นเรื่องของอุตสาหกรรมรถยนต์ อุตสาหกรรมเทคโนโลยี ซึ่งทรัมป์และทีมเศรษฐกิจของสหรัฐต้องทำงานอย่างหนัก เพื่อให้มั่นใจว่า สหรัฐจะได้ประโยชน์จากความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น

“เราเห็นสหรัฐพุ่งเป้าโจมตีไปที่ผู้ผลิตสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี โดยสหรัฐและจีน มีการออกกฎหมายห้ามมิให้ใช้ผลิตภัณฑ์ของกันและกัน ด้วยเหตุผลคือความมั่นคงแห่งชาติ ทั้งนี้จีนวางแผนที่จะล้างเทคโนโลยีที่มาจากต่างประเทศออกจากสำนักงานของรัฐภายในปี 2023 ขณะที่สหรัฐอเมริกามีการห้ามหน่วยงานของรัฐจากการซื้ออุปกรณ์จากซัพพลายเออร์จีนบางรายรวมถึง Huawei และ Hikvision ซึ่งเราเห็นผลทางอ้อมเกิดขึ้นกับอังกฤษแล้ว หลังทำผิดข้อบังคับของสหรัฐแล้วจากการให้ Huawei เข้ามามีบทบาทในการเปิดตัว 5G ของประเทศ

Trade War ที่ประธานาธิบดีทรัมป์ เริ่มต้นในปี 2018 เหมือนจะเป็นยกแรกของมวยคู่นี้เท่านั้น หาก ประธานาธิบดีทรัมป์ อยู่ในตำแหน่งต่อไปอีกสมัย หรือ โจ ไบแดน ตัวแทนจาก Democrat เห็นว่าควรสานต่อเจตนารมณ์ และดำเนินการเชิงรุกเพื่อสร้าง Supply Chain ห่วงโซ่ใหม่ให้เกิดขึ้น เพื่อความแข็งแกร่งกว่าเดิมละก็ Trade War ยกสอง ยกสาม ยกสี่ ก็จะตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ที่เราไม่รู้ก็คือ มันจะมาเมื่อไหร่ และซ้ำเติมบรรยากาศเศรษฐกิจที่สู้กับวิกฤต COVID-19 ตอนนี้อีกแค่ไหน”

94 views
bottom of page