top of page
image.png

จี้รัฐปรับเปลี่ยนนโยบาย....เลิกเอื้อประโยชน์นายทุน



Interview : คุณธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล

อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง


ในภาวะเศรษฐกิจชะงักงัน โรคภัยรุมเร้า กนง.ต้องลดดอกเบี้ยนโยบายตาม Fed ไม่ควรกังวลเรื่องเงินเฟ้อจนเกินเหตุ ควรห่วงปากท้องคนจนมากกว่า เรื่องแจกเงินหรือเฮลิคอปเตอร์ มันนี โดยเฉพาะกู้มาแจก เป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงจุด ควรนำเงินไปใช้ให้ก่อประโยชน์มากกว่า เช่น การวางระบบป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างเร่งด่วนและยั่งยืน จะเรียกความเชื่อมั่นของคนไทย-ต่างชาติกลับมาได้เร็ว เมื่อปัญหาโควิด-19 หมดลง ทุกอย่างจะกลับมา ทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติ การลงทุนในตลาดหุ้น และทุกภาคส่วน ที่สำคัญคือรัฐบาลต้องปรับเปลี่ยนนโยบายที่ออกแนวเอื่อยเฉื่อย นโยบายที่เอื้อประโยชน์นายทุน เพราะไม่สามารถฉุดเศรษฐกิจให้ดีขึ้นได้


นโยบายการเงินการคลังควรจะเป็นอย่างไร ในสถานการณ์โลกปัจจุบันที่มีเรื่องโควิด-19

ในแง่นโยบายทางการเงินของทั่วโลกเขาจะผ่อนคลาย เรียกว่ายังไม่ต้องรอถึงขั้นแสดงอาการมากกว่านี้ หลายประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกาและยุโรปก็มองแล้วว่าจะต้องลงไปช่วยโดยเฉพาะผ่อนคลายนโยบายการเงิน เพื่อลดต้นทุนทางการเงินให้กับเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้นอย่างเฟดก็ลดดอกเบี้ยฮวบฮาบ และทางยุโรปก็มีหลายประเทศที่ดำเนินการอย่างนั้น


อย่างสหรัฐอเมริกาลดดอกเบี้ยนอกรอบสองครั้งรวม 1.5% มองตรงนี้อย่างไร

เมื่อลงไปถึงขั้น 0% โอกาสที่ผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวอาจจะติดลบได้ ที่ผ่านมาสหรัฐอเมริกาอาจจะยังไม่กล้าจะลงไปถึงขั้นใช้นโยบายดอกเบี้ยติดลบ เขาคงหวังว่าอาจจะมีการแก้ปัญหาโดยใช้นโยบายการคลังเข้ามาเสริมซึ่งจะทำให้สถานการณ์เบาลง


ถ้าเป็นอย่างนี้ แล้วของไทยเรา นโยบายดอกเบี้ยควรจะเป็นอย่างไร

คิดว่าในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ไทยรักษาระดับดอกเบี้ยไว้สูงเกินไปแล้ว เพราะฉะนั้นที่ทางแบงก์ชาติ ทาง กนง.มีการลดดอกเบี้ยลงไปบ้าง ก็ทำให้มีการผ่อนคลายในเรื่องของแรงกดดันเงินบาทลงไปบ้าง แต่พอลดไปแล้ว พอมาเจอเหตุการณ์ต่างประเทศ เขามีการลดดอกเบี้ยลงไปอีก เชื่อว่าทาง กนง.ของไทย คงจะต้องมองในเชิงเดียวกัน


ในยุทธศาสตร์สงคราม ในแบบฉบับสามก๊ก เขาว่าตอนรุกไม่มีปัญหา แต่ตอนถอยนี่น่ากลัวมาก ดังนั้น เราจะถอยอย่างไร

ถ้าเป็นทางแบงก์ชาติของไทย ข้อกังวลหลักจะเป็นเรื่องของอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งจะทำให้มูลค่าของเงินในมือประชาชนเรียกว่าหายไป ขณะนี้ยังไม่มีความเสี่ยงตรงนี้ปรากฏให้เห็นไม่ว่าจะเป็นประเทศไทยหรือในต่างประเทศ เพราะฉะนั้นในขณะนี้คิดว่ายังไม่ถึงขั้นต้องไปกังวลในเรื่องของการกระตุ้นให้มากเกินไป สิ่งที่ควรจะกังวลมากกว่าก็คือ ทำอย่างไรจึงจะบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนไม่ให้มันลุกลามหรือรุนแรงเกินไป ตรงนี้ต้องใช้นโยบายการคลังประกอบ


เดิมทีเขาจะแจกเงิน แต่ตอนนี้ไม่เอาแล้ว เพราะโดนคนต่อต้านเยอะ ตรงนี้คิดว่าควรแจกหรือไม่

การแจกเงินถ้ามันจำเป็นก็ควรเอาไว้หลังสุด เริ่มต้นเลยเขาดำเนินนโยบายหลายนโยบาย เรื่องพวกการช่วยธุรกิจขนาดเล็กในแง่ของสภาพคล่อง ตรงนี้คิดว่าดี ช่วยในเรื่องของการเจรจากับแบงก์พาณิชย์ เพื่อให้โอนอ่อนผ่อนปรนไม่ให้หนี้กลายเป็นเอ็นพีแอล ช่วยในการลดภาระดอกเบี้ยสำหรับธุรกิจบางอย่าง โดยเฉพาะธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ เช่น ท่องเที่ยว ขนส่ง โลจิสติกส์ เหล่านี้


ในส่วนที่จะเอาเงินไปแจกนั้น ประเทศที่เขาแจกเงินกันส่วนใหญ่จะเป็นประเทศที่เขาเกินดุลงบประมาณมา ดังนั้นเหมือนกับคืนกำไรให้กับประชาชน รัฐก็ทำได้ แต่ของเรากลายเป็นถ้าแจกเงินคือเป็นการกู้มาแจก ถ้าเป็นอย่างนั้น ต้องถามตัวเองว่ามีอย่างอื่นที่ดีกว่าไหม จะทำให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจมากกว่าหรือไม่ อย่างน้อยที่สุดคิดว่าจะต้องหาทางจัดขบวนการในการรับมือไข้โควิด-19 เวลานี้เราเข้าหน้าร้อนแล้ว โอกาสที่เป็นไปได้คือการแพร่ในประเทศเขตร้อนอาจจะเบาลงแล้ว ถ้าหากว่าเราทำได้จะดึงความเชื่อมั่นในเรื่องการท่องเที่ยวกลับมาอย่างรวดเร็ว จะต้องทำให้เขาเห็นเลยว่าเรามีระบบในการที่จะป้องปราม ในการที่จะติดตาม แล้วรู้ปัญหาอะไรต่างๆ อย่างเร็ว เช่นในเรื่องเครื่องมือในการทดสอบโควิด-19 ที่เวลานี้มีบางประเทศอย่างเกาหลี จีน ที่บอกว่ามีวิธีในการทดสอบเร็ว คือภายใน 15 นาทีจะได้ผล แต่ว่าเท่าที่ดูไม่รู้จะเวิร์กหรือไม่


สหรัฐอเมริกาก็ออกมาแบบเดียวกัน ตรงนี้รัฐบาลควรจะติดตาม อย่างกรณีของเกาหลีเขาใช้วิธีตั้งศูนย์ทดสอบกระจายในเมืองใหญ่ๆ แล้วก็ติดต่อกันเป็นเครือข่าย ถ้าหากว่าใครมีข้อกังวล สมมุติเกิดคัดจมูกมาก หรือปวดหัวมาก หรือมีอาการที่คล้าย ก็จะเข้าไปที่โรงพยาบาล แล้วเขาจะมีเป็นศูนย์เป็นที่จอดรถหลังโรงพยาบาล แล้วมีเต็นท์ พอขับรถไปก็ไม่ต้องออกจากรถ ใช้สำลีก้านเข้าไปในจมูกและคอ เอาสารคัดหลั่งจากจมูกแล้วก็แหย่เข้าไปที่คอ แล้วส่งเข้าไปที่ศูนย์ ตรงนี้เขาคิดค่าใช้จ่ายไม่แพง ประมาณพันกว่าบาท แล้วผลออกมาวันรุ่งขึ้น ถ้าเกิดเป็นเขาจะโทร.ไปตามมาร่วมกระบวนการในการรักษา แต่ถ้าไม่เป็นเขาก็จะส่งเป็นเอสเอ็มเอสแจ้ง เวลานี้ในเกาหลีสามารถทดสอบวันหนึ่ง 2 หมื่นเคส อย่างนี้ถ้าใครไม่แน่ใจ หรือพร้อมจะควักกระเป๋าได้ในระดับหนึ่ง ก็ไปทดสอบได้เลย


ส่วนของไทยเวลานี้ค่าใช้จ่ายในการตรวจแพงมาก ถ้ารัฐช่วยอุดหนุนหน่อย และไม่ควรกังวลว่าคนจะไปทดสอบพร่ำเพรื่อ ส่วนตัวคิดว่าไม่ใช่ อยู่ดีๆ อะไรไปแหย่จมูกมันก็ไม่ใช่ธรรมดา ดังนั้น ถ้าเราทำให้กระบวนการพร้อมก็จะช่วยให้การท่องเที่ยวกลับมาปกติ ซึ่งเราก็ต้องระวังอีก เพราะช่วงปลายปีอากาศหนาวกลับมาใหม่ ก็อาจมีการระบาดกันมากขึ้น เพราะเราเป็นประเทศเปิด มีการเดินทางจากต่างประเทศเข้ามาเรื่อยๆ มีโอกาสที่จะกลับมาระบาดได้อีก แต่ถ้าเราจัดระบบให้มีการทดสอบ การติดตาม คนที่เกี่ยวข้อง ได้รวดเร็ว ต้นทุนไม่มาก อย่างนี้น่าจะดีจะเกิดความเชื่อมั่น คุ้มกว่า


ความวิตกเข้าไปในตลาดหุ้นด้วย หุ้นตกอย่างรุนแรง มองว่าน่าเป็นห่วงหรือไม่

ตรงนี้ไม่น่าห่วงเท่าไหร่ ต้องยอมรับว่าจะมีธุรกิจบางอย่างได้รับผลกระทบแน่ๆ อย่างพวกสายการบิน รถทัวร์ โรงแรม อันนี้โดยตรง แม้แต่พวกนักธุรกิจ เวลานี้หลายๆ บริษัทห้ามผู้บริหารเดินทาง อย่างในสหรัฐอเมริกา พวกการแข่งขันกีฬาปิดหมดเลย ในเรื่องของบันเทิง คอนเสิร์ตก็ไม่เกิด พวกนี้ที่จะได้รับผลกระทบโดยตรง แต่ว่าส่วนตัวคิดว่าภาพที่เราเห็นมาในอดีต ลักษณะของการแพร่ของพวกไข้หวัดพอเข้าหน้าร้อนก็จะเบา พอเบาแล้ว ทุกอย่างจะกลับเข้ามาใหม่ สำคัญอยู่ที่ระบบที่จะสร้างขึ้นมา ไหนๆจะเกิดวิกฤตแล้วที่เขาเคยมีคำพูดบอกว่าวิกฤตแล้วอย่าให้เสียเปล่า ต้องเอามาทำให้เกิดระบบที่จะสร้างความมั่นใจของเราให้ยืนยาวไปในอนาคต ถ้าทำแบบนั้นได้ จะดีกว่าเยอะเลย


ในส่วนของตลาดหุ้น ต้องยอมรับว่ามีหลายบริษัทที่ได้รับผลกระทบโดยตรง อาจจะมีบางบริษัทซึ่งจะมีปัญหาในเรื่องของการชำระหนี้บ้าง แต่ส่วนตัวมั่นใจว่าจะสามารถเจรจากับแบงก์ได้ แล้วพอเหตุการณ์ผ่านไปก็จะฟื้น เพียงแต่ว่าเวลานี้เท่าที่ดูตลาดในเมืองไทยอย่างไรก็โดนกระทบมาจากตลาดของสหรัฐอเมริกาและยุโรป ณ เวลานี้สหรัฐอเมริกาและยุโรป ผลกระทบจากโควิด-19 ยังไม่พีค เพราะเขาเริ่มต้นช้ากว่า อย่างสหรัฐอเมริกาไปเจอโดนัลด์ ทรัมป์ที่ไม่ได้ให้ความสำคัญเท่าไหร่ในช่วงต้น ดังนั้นความมั่นใจในตอนนี้ก็น้อย แล้วมีปัญหาคล้ายกับเราคือเครื่องมือในการตรวจก็น้อย ลักษณะของอุปกรณ์ในการป้องกันตัวของบุคลากรสาธารณสุขก็น้อย ตรงนี้มันจะลามแล้วทำให้เขาตกใจ หรือจะทำให้ตลาดหุ้นในสหรัฐอเมริกาและยุโรปแกว่งขึ้นแกว่งลง แต่เขาบอกว่าสุดท้ายก็ฟื้น เพียงแต่ว่าไม่ได้ฟื้นแบบดูดี แต่จะฟื้นเป็นตัวยู คือจะตกแบบช้าๆ อาจจะนานเหมือนที่เราคิดหน่อย คือไม่ต้องแทรกแซงตลาด เพราะตอนนี้ตลาดไทยมันใหญ่ เรียกว่ามีอายุเลยจังหวะที่จะเป็นเด็กแล้ว เขารู้ว่าควรจะปฏิบัติอย่างไร เราใจเย็นๆ เพียงแต่ว่าในแง่ของการให้ความรู้ การให้ข้อมูลเรื่องโรคระบาดต้องทำให้เกิดความมั่นใจกับนักท่องเที่ยว กับคนไทยให้กลับคืนมาโดยเร็ว


ต้องตั้งกองทุนอะไรขึ้นมา สนับสนุนในการซื้อหุ้นไว้ไหม

ส่วนตัวไม่เห็นด้วย เพราะเป็นลักษณะของการดำเนินการที่ไม่เป็นธรรมกับพวกที่อยู่นอกตลาด ประชาชนทั่วไปเขาเสียภาษีปกติ แต่ว่าเขาไม่ได้เอามาลงทุนในตลาดหุ้น แล้วเราก็บอกว่าถ้าตั้งกองทุน แล้วถ้าเกิดว่าเงินที่ลงทุนเอาไปหักจากภาษีได้มันเป็นเรื่องข้ามสายพาน คือลงทุนมันเป็นเรื่องของทรัพย์สิน มันเป็นเรื่องของงบดุล แต่รายได้สำหรับเสียภาษีมันเป็นเรื่องในบัญชีและทุนของครอบครัว คือพูดง่ายๆว่าเรามีรายได้ เราหารายได้ และมีความจำเป็นต้องขอลดหย่อนจากรัฐบาลเพราะเรามีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการหารายได้นั้น ซึ่งรัฐบาลก็ยอมโอเคค่าใช้จ่าย แต่มันก็มีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องในการหารายได้ที่จะเอามาเสียภาษีให้แก่รัฐ ซึ่งการลงทุนมันคนละเรื่อง มันข้ามจากบัญชีกำไรขาดทุนมางบดุล มันคนละข้ามพันธุ์


สรุปเศรษฐกิจไทยปีนี้

เท่าที่ดูคิดว่าถ้านโยบายของรัฐบาลไม่เปลี่ยน ยังเป็นตามแนวที่เขาดำเนินการมา ก็จะไปแบบเอื่อยๆเฉื่อยๆไปเรื่อยๆ แล้วยังต้องได้รับผลกระทบเนื่องจากภัยแล้ง เรื่องโควิด-19 แล้วนโยบายของเขาไปเน้นในเรื่องของนโยบายที่เขาเรียกว่าน้ำตกให้นายทุนเดิน หน้าไปแล้ว หวังว่ามันจะมีน้ำไหลลงมาให้กับชาวบ้าน ถ้ายังไม่เปลี่ยนนโยบายพวกนี้ จะไปหวังให้มันฟื้นแบบคึกคักคงยาก ถ้าจะเอาแบบฟื้นคึกคัก คงต้องคิดใหม่ทำใหม่ ตรงนี้ถือเป็นโจทย์ใหญ่

151 views

Comments


bottom of page