top of page
312345.jpg

ก.ล.ต. สำรวจรายย่อย...จ่อควักกระเป๋าซื้อหุ้น-หุ้นกู้

ขณะที่นักลงทุนต่างชาติเป็นฝ่ายขายหุ้นไทยอย่างไม่ยั้งมือ ภายในครึ่งปีแรก 2563 ขายสุทธิกว่า 200,000 ล้านบาท และยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยจริงจังจนกลับเพิ่มเป็นบวกเมื่อไหร่ นักลงทุนรายย่อยของไทยก็เป็นฝ่ายซื้อกันมาตลอดครึ่งปีกว่า 140,000 ล้านบาท ก.ล.ต.เผยผลสำรวจนักลงทุนรายย่อยยังมั่นใจที่จะซื้อหุ้นไทยต่อไป...ด้านผู้คร่ำหวอดในวงการห่วงรายย่อยอย่าเป็นแมงเม่า!!!

รายงานข่าวจาก ก.ล.ต. เปิดเผยว่า ก.ล.ต.ได้ออกแบบสำรวจความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนรายย่อย ผลปรากฏว่า นักลงทุนรายย่อยของไทยยังมีความเชื่อมั่นต่อตลาดทุนไทย โดยร้อยละ 50 ของผู้ตอบแบบสอบถามวางแผนจะลงทุนเพิ่มในตลาดทุนไทยในช่วง 1 ปีข้างหน้าอย่างไร ระหว่างวันที่ 20 พฤษภาคม ถึง 7 มิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา โดยมีผู้ตอบแบบสอบถามจากทั่วประเทศ จำนวน 1,270 ราย พบว่าผู้ลงทุนส่วนใหญ่ยังคงเชื่อมั่นต่อตลาดทุนไทย โดยร้อยละ 50 ของผู้ตอบแบบสอบถาม ระบุว่ามีการวางแผนที่จะลงทุนเพิ่มในตลาดทุนไทยในช่วง 1 ปีข้างหน้า


สำหรับในกลุ่มผู้ที่วางแผนจะลงทุนเพิ่มนั้นพบว่า ครึ่งหนึ่งเป็นผู้ลงทุนที่ลงทุนในช่วงเกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 อยู่แล้ว และอีกประมาณ 1 ใน 4 เป็นผู้ลงทุนรายใหม่

ทั้งนี้หุ้นไทยยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดเมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่น เช่น เงินฝาก พันธบัตร ตราสารหนี้เอกชน กองทุนรวม รวมถึงกองที่เน้นลงทุนในต่างประเทศ

นอกจากนี้ พบว่าความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนรายย่อยที่มีต่อตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนหรือหุ้นกู้ปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากสัดส่วนผู้ตอบแบบสอบถามที่ระบุว่าวางแผนจะลงทุนในหุ้นกู้เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 3.6 ในช่วงที่มีการระบาดของ COVID-19 (กุมภาพันธ์-เมษายน 2563) เป็นร้อยละ 7.2 ในอีก 3 เดือนข้างหน้า (มิถุนายน-สิงหาคม 2563)

ที่น่าสนใจคือ ในจำนวนของผู้ตอบแบบสอบถามที่ระบุว่าวางแผนจะลงทุนในหุ้นกู้เพิ่มขึ้นในช่วง 3 เดือนข้างหน้านั้น มากกว่าร้อยละ 75 เป็นกลุ่มผู้ลงทุนรายใหม่

เกี่ยวกับเรื่องนี้ แหล่งข่าวจากวงการหุ้นให้ข้อสังเกตว่า ตามรายงานนี้การที่นักลงทุนไทยมีความมั่นใจพร้อมที่จะซื้อหุ้น เข้ามาลงทุนในหุ้นเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะมีการกระจายการลงทุนที่หลากหลาย เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในธนาคารต่ำ หากฝากเงินกับธนาคารจะได้ผลตอแทนน้อย แต่อย่างไรก็ตามกรณีนี้ ฝ่ายกำกับทั้ง ก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์ฯ ยิ่งต้องเพิ่มการให้การดูแลปกป้องนักลงทุนรายย่อยให้มากขึ้น ภายใต้สถานการณ์การลงทุนที่มีความเสี่ยงมาก โดยเฉพาะเมื่อรายงานระบุว่า เป็นนักลงทุนหน้าใหม่ที่จะเข้ามาลงทุนมากขึ้นทั้งในหุ้น และหุ้นกู้ เนื่องจากสถานการณ์ในรอบ 3 เดือน 6 เดือน และ 1 ปีข้างหน้า หุ้นไทย ยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากปัจจัยลบ และน่าจะมีความผันผวนมาก โดยเฉพาะหากกิจการต่างๆ มีความซวนเซ อาจมีปัญหาในเรื่องของการชำระคืนหุ้นกู้ แม้ว่าแบงก์ชาติจะออกมาตั้งพนักให้พิงหลังโดยออก พ.ร.ก.ให้มีกองทุนคอยดูแลหุ้นกู้อินเวสต์เมนต์เกรดก็ตาม ยิ่งต้องให้ความรู้และช่วยปกป้องนักลงทุนให้มาก


“เฉพาะในส่วนของตลาดหุ้น จะเห็นว่านักลงทุนต่างชาติที่มีอิทธิพลต่อทิศทางการขึ้นลงของหุ้นไทย ยังมีพฤติกรรมที่ขายหุ้นไทยมากกว่าซื้อ เพียงเฉพาะ 6 เดือนแรกนี้ต่างชาติขายหุ้นไทยไปสุทธิถึงกว่า 200,000 ล้านบาท ซึ่งนับว่าเป็นการขายปริมาณที่มาก และแสดงว่าความมั่นใจในไทยในหุ้นไทยยังไม่กลับมา และไม่แน่ว่าใน ครึ่งปีหลังหรือ 1 ปีข้างหน้าจะกลับมาหรือไม่ พร้อมข่าวต่างๆ อาจทำให้หุ้นไทยในอนาคตมีความผันผวน หากนักลงทุนรายย่อยโดยเฉพาะหน้าให้กระโดดเข้ามาตลาดหุ้นก็อาจมีความเสี่ยง จึงควรช่วยกันให้ความรู้ เปิดเผยข้อมูลการลงทุน บทวิเคราะห์ อย่าให้เขากลายเป็นแมงเม่าฝูงใหม่”


18 views
bottom of page