
Interview: ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์
ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) (KTBST)
ตลาดหุ้นไทยปีนี้ ร้องยี้ทั้งนักลงทุนและโบรกเกอร์ นักลงทุนส่วนใหญ่ขาดทุนอ่วมอรทัย ส่วนโบรกเกอร์รายได้ลดจากปริมาณซื้อขายหุ้นที่หดตัวลงอย่างมาก ในฟากกองทุนโดยรวมยังฟันกำไร แต่มีหลายกองทุนที่ผลการลงทุนติดลบ เทียบแล้วตลาดหุ้นไทยย่ำแย่กว่าตลาดหุ้นทั่วโลก เหตุจากไทยมีปัญหารุมเร้าทั้งจากในบ้านและนอกบ้าน หวัง...ตลาดหุ้นปีหน้าจะเริ่มโงหัวขึ้น ดัชนีมีโอกาสพุ่งไปทดสอบที่ระดับ 1,700-1,740 จุด แต่จะยืนอยู่หรือไม่ ต้องดูปัจจัยบวกว่าจะแข็งแกร่งแค่ไหน พร้อมแนะ...ซื้อ LTF ทิ้งทวนปีสุดท้าย ลงทุน-ออมระยะยาว มั่นใจใน 2-5 ปี กำไรดีแน่นอน
ปีนี้วงการโบรกเกอร์เป็นยังไง
ปีนี้ถ้าเป็นนายหน้าหลักทรัพย์มีความยากลำบากนิดนึง เพราะปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ในประเทศของเราไม่ว่าจากนักลงทุนสถาบันหรือบุคคลรายย่อยต่างลดลง ในฐานะเป็นนายหน้าหรือตัวกลางได้รับผลกระทบจากรายได้ที่ลดลงด้วย
ลูกค้าส่วนใหญ่บอกขาดทุนจากหุ้นกันเยอะ
จริงๆปีนี้เป็นปีที่ยา กดูเหมือนดัชนีอยู่ในขาที่ไม่บวกแล้ว แต่โดยรวมเห็นนักลงทุนหลายท่านทั้งสถาบันหรือแง่บุคคลทั่วไปมีทั้งได้มีทั้งเสีย แต่ปีนี้เนื่องจากสวิงค่อนข้างเยอะเมื่อเทียบกับปีก่อน ใครที่จิตไม่แข็ง หรือวาง position ที่ไม่ดี ก็มีโอกาสเสียหายกว่าปีที่ผ่านมา
ต่างชาติที่ขายกันเขาเสียหรือได้
สำหรับนักลงทุนต่างชาติเขาต้องมีสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นบ้านเรา เพราะเราเป็นหนึ่งในการกระจายสัดส่วนการลงทุนในภูมิภาคของการลงทุนต่างชาติ จริงๆเป็นสัดส่วนไม่ได้เยอะ แต่เขาต้องมี ดังนั้นเรื่องสัดส่วนเมื่อถูกปรับลดลงในดัชนีสำคัญอย่าง MSCI เป็นเรื่องปกติที่เขาจำเป็นต้องขายหุ้นโดยเฉพาะการขายหุ้นขนาดใหญ่ของเราออกไป เพราะเป็นการลดตามสัดส่วนดัชนีออกไป
กองทุนต่างๆ LTF/RMF ที่เอาเงินประชาชนไปลงทุน ผลประกอบการปีนี้เป็นอย่างไร
ผมว่าปีนี้โดยรวมมีกองทุนหลายกองทุนที่ดี มีผลประกอบการชนะดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของประเทศไทยหลายเปอร์เซ็นต์ อาจมีบางกองทุนบริหารต่ำกว่าค่าเฉลี่ยผลตอบแทนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีทั้งผลประกอบการปกติ มีดี ดีมาก และต่ำกว่าฟอร์มก็มี
ถ้าดูจากสภาพปัจจัยปีนี้เป็นปีที่ยาก แล้วดัชนีตอนนี้ก็ลงมาต่ำกว่า 1,580 มองแล้วถึงสิ้นปีนี้ดัชนีจะตกอีกไหม
ถ้าดูภาพตกในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาบ้านเราหรือตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่กี่ตลาดที่ปรับตัวลดลง โดยตลาดส่วนใหญ่ทั่วโลกสหรัฐฯก็ดี อังกฤษ ยุโรป ญี่ปุ่น หรือ จีน ต่างมีการปรับตัวสูงขึ้นในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ภาพลักษณ์นี้เป็นตัวที่บอกว่าบ้านเราเป็นความกังวลเฉพาะเจาะจง มีความกังวลเกี่ยวกับภาคเศรษฐกิจในประเทศเรา มีความกังวลต่อนโยบายของภาครัฐหรือด้านอื่นๆ มองว่าภาพรวมในต่างประเทศเช่นตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐปรับตัวดีขึ้นมาเยอะมาก เป็นตัวยืนยันว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วจริงๆบ้านเราเป็นเศรษฐกิจเปิดขนาดเล็ก แต่เราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว ขนาดเล็กเป็นตัวที่บอกว่าเราพึ่งพิงเศรษฐกิจต่างชาติค่อนข้างเยอะ ถ้าเศรษฐกิจหลักในโลกยังพอมีความแข็งแกร่ง ยังไม่ได้ชะลอลงมาก เชื่อว่าการลงทุนยังไปต่อ ถ้าปัจจัยภายในประเทศหรือปัจจัยเฉพาะเจาะจงของเราคลายความกังวลไปได้ในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่เหลือของบ้านเรา ก็เป็นไปได้ที่ตลาดบ้านเรามีโอกาสหักหัวขึ้นเล็กน้อย แต่โดยรวม KTBST มองว่าปีนี้มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงที่จะจบได้ที่ 1,600-1,650
ปีหน้าจะมีสภาพแบบนี้เช่นเดียวกัน
โดยรวมต่างประเทศปรับตัว จะเห็นตลาดหลักในต่างประเทศปรับตัวขึ้น 20% กันหมด มีตลาดบ้านเราเกือบจะลบแล้ว ผมมองว่าปีนี้ต่างประเทศเป็นพระเอกเพราะ 1. ภาวะดอกเบี้ยในสหรัฐปรับลดลง สภาพคล่องปรับสูงขึ้น 2. มีการปรับโครสร้างภาษีในหลายประเทศ 3. เศรษฐกิจในหลายประเทศเติบโตมากกว่าตอนแรก ต้นปีนักเศรษฐศาสตร์นักวิเคราะห์ประมาณไว้เป็นแบบนี้
ปีนี้ก็ดูดี แต่ปีหน้าเรามองว่าต่างประเทศอาจซบเซาลงเพราะปีนี้ดีเกินคาด ปีหน้าโอกาสเติบโตเหมือนปีนี้คงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากเราเป็นเศรษฐกิจเปิดขนาดเล็ก ดังนั้นถ้าเศรษฐกิจต่างประเทศในปีหน้าลดลง โดยเฉพาะทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯที่ปีนี้ปรับลงมากกว่าที่คิดไว้ ปีหน้าโอกาสปรับลดลงต่อเนื่องน้อยลง มันจะกระทบต่อตลาดในประเทศเกิดใหม่อย่างพวกเรา ที่ KTBST มองว่าปีหน้าถ้าโชคดีปัจจัยในประเทศกลับมาหนุนได้แข็งแกร่งกว่า ปีนี้ โอกาสที่ตลาดปรับขึ้นในปีหน้าก็น่าจะมี แต่เราก็ไม่ได้มองไกล ปีหน้าเรามองว่าตลาดขึ้นไปทดสอบระดับ 1,700-1,740 จุด เราใช้คำว่ามีโอกาส แต่จะยืนอยู่หรือไม่อยู่คงจะต้องดูปัจจัยค่อนข้างเยอะทั้งในและนอกประเทศ เพราะตอนนี้ในแง่เม็ดเงินการเชื่อมต่อของระบบและเศรษฐกิจหลายๆอย่างมันเป็นเนื้อเดียวกัน ดังนั้นมีอะไรกระทบนิดเดียวมันทั้งมาและไปได้รวดเร็ว
ปัจจัยที่เข้ามาแทรกตอนท้ายปีและมีความกังวล คือ LTF ที่จะเปลี่ยนเป็น SSF เม็ดเงินที่ใช้ลงทุนในตลาดหุ้น คือ LTF ก่อนหน้านี้ลงทุนในหุ้น จะถูกขายออกมากดดันดัชนี จริงๆแล้ว LTF ที่จะถูกขายออกมาจะมีผลกับดัชนีหุ้นไทยกี่จุดแค่ไหน
ยังไงก็ต้องยอมรับในความเป็นจริงข้อนี้ เอาเฉพาะ LTF อย่างเดียวปีนึงมีเม็ดเงินลงทุนประมาณ 60,000 ล้านบาทที่เป็นเงินใหม่ที่นักลงทุนช่วยกันออมเข้าไปในกองทุนระยะยาว แต่ตั้งแต่ปี 63 จะไม่มีเงินก้อนใหม่ก้อนนี้เข้ามาในตลาดหุ้นเพิ่มเติม ก็ต้องมีผลกระทบต่อตลาดหุ้น ถามว่ากระทบมากหรือน้อย ก็ต้องอยู่ที่ตลาดหุ้นเดิมว่านักลงทุนในประเทศของเราเองและนักลงทุนต่างประเทศยังเชื่อใจตลาดหุ้นเราไหม เม็ดเงิน 60,000 ล้านเมื่อเทียบภาพรวมของตลาดหุ้นประมาณ 15 ล้านล้าน ไม่ได้เยอะ แต่มีประโยชน์ตอนที่เวลาหุ้นขาลงอย่างที่ทุกคนไม่มีความเชื่อมั่นปรับลดลง การที่มีเม็ดเงินใหม่เข้ามาเพราะเป็นเม็ดเงินภาคกึ่งบังคับ เพราะมีการจูงใจให้คนเข้ามาออม ก็จะช่วยพยุงตลาดได้ในบางช่วง โดยเฉพาะช่วงที่คนขาดความเชื่อมั่น แต่ถ้าตลาดอยู่ในช่วงที่ดีมันก็ไม่ได้ช่วยเหลืออะไรมากมาย
ภาพที่ผมมองในฐานะเป็นนักลงทุนด้วยและคนที่เกี่ยวกับตลาดทุน ผมมองว่าแค่น่าเสียดาย จริงๆ การออมในหุ้นเหมาะกับการออมระยะยาว เพราะถ้าเราให้ออมระยะยาวในตราสารหนี้อย่างเดียวในภาวะดอกเบี้ยต่ำอาจจะไม่ตอบโจทย์คนออมระยะยาว เพราะสุดท้ายออมไปผลตอบแทนไม่คุ้มกับวัยเกษียณ ภาพนี้ผมมองว่าโดยรวมมันกระทบตลาดหุ้นแน่ๆ เพราะเงินที่เคยเข้ามาเป็นเงินใหม่หรือเข้ามาซื้อในช่วงตลาดตอนลง ตอนขาดความเชื่อมั่น มันจะหายไป
แรงจูงใจในกองทุนใหม่ดูเหมือนจะไม่มากพอ
กองใหม่เน้นกระจายสินทรัพย์หลากหลาย เพราะสามารถไปลงทุนในต่างประเทศได้ด้วยเช่นเดียวกับ RMF คือแทนที่จะช่วยฝึกวินัยหรือช่วยให้นักลงทุนเข้าใจการออมในหุ้นระยะยาว เพราะจริงๆหุ้นระยะยาวเหมาะกับการลงทุนระยะยาวอยู่แล้ว การที่มีเครื่องมือลักษณะเหมือน LTF มาช่วยบรรเทาให้คนเข้าใจและใส่ใจอยากเข้ามาเรียนรู้การออมหุ้นระยะยาวมันเป็นประโยชน์ พอทิ้งฐานตรงนี้ไปก็น่าเสียดาย
จนถึงปลายปีนี้เรียกว่าครั้งสุดท้ายแล้วที่ซื้อ LTF ได้ มองในฝั่งนักลงทุนควรซื้อไว้ใช่ไหม
การออมลักษณะนี้เป็นการออมรายไปด้วย เกี่ยวกับรายได้ในปีนั้น และเกี่ยวกับการวางแผนภาษีในปีนั้นด้วย ภาพที่เกิดขึ้นต่อให้ทุ่มเต็มที่ เข้าใจว่าคนก็ทุ่มอยู่ในกรอบที่ตัวเองมีจำกัดอยู่แล้ว อย่างของผมซื้อ LTF ในลักษณะซื้อเป็นประจำรายเดือนผ่าน Dollar Cross ผมซื้อได้ไหร่หาร 12 แล้วตัดตอนต้นเดือนเลย ตัวผมจริงๆซื้อครบไปแล้วเพราะผมตัดต้นเดือน พอหาร 12 ผมครบเรียบร้อยก็คุ้มไปแล้ว
Dollar Cross ทุ่มซื้อตอนปลายปีในลักษณะแบบนี้ควรซื้อไหม
สุดท้ายเงินก้อนนี้คือการออมระยะยาว ตอนนี้ 17 ปีแล้ว หลายคนบอกแนวโน้มปีหน้าเศรษฐกิจแย่ เศรษฐกิจปีต่อไปไม่รู้เป็นอย่างไร ถ้าเรามาศึกษาภาพการลงทุนของหุ้นระยะยาวจริงๆ โดยเฉพาะถ้ามันเลย 7 ปีขึ้นไป โอกาสที่คนจะสูญเสียเงินลงทุนในหุ้นระยะยาวเป็นไปได้น้อยมาก ถ้าเราย้อนกลับไปปี 2008 ที่มี hamburger crisis หุ้นลงจาก 1,400 เหลือ 400 จุด เราบอกไม่น่าลงทุนในหุ้นเลยเจ๊งชัวร์ เงินที่ฉันออมมาหายหมด แต่พอมาดูวันนี้ ผ่านไป 10 ปี คนที่เคยลงทุนตอนนั้นแล้วบอกว่าฉันไม่น่าลงทุนในหุ้นเลย คือเราแตะมันไม่ได้ และผู้จัดการกองทุน Performance แค่กรอบ Index ตอนนี้ทุกคนดีกว่าผลตอบแทนในตราสารหนี้เกือบทั้งสิ้น สุดท้ายเม็ดเงินก้อนนี้ในรอบนี้ก็ต้อง 7 ปี ในช่วง 7 ปี จะชะลอลงหรือถดถอยมากกว่านี้ก็เป็นไปได้ แต่สุดท้ายการที่เรามอบหมายและเลือกผู้จัดการกองทุนที่ดีให้ลงทุนหุ้นที่ดีให้เรา ผมว่ายังไงด้วย cycle ธุรกิจเติบโตอาจจะสะดุดบ้างเล็กน้อยหรือปานกลาง แต่การเติบโตของมันต้องกลับมาใน 2-5 ปี เมื่อเป็นแบบนี้ผมจึงค่อนข้างมั่นใจและแนะนำให้ลงทุน
Comments