ปัจจัยสงครามการค้าผ่อนคลายมากขึ้น ความกังวลหันมาที่กรณี Brexit ของอังกฤษแทนที่ ขณะปัจจัยภายใน เรื่องการเมืองไทยที่ยังจะเป็นปัจจัยหลักสำคัญทำให้นักลงทุนต่างชาติรีรอที่จะไม่เข้ามาซื้อหุ้นไทย แต่อย่าเพิ่งหมดหวัง ยังมีหุ้นไทยที่พอเลือกลงทุนได้ นักวิเคราะห์แกะสูตรเฟ้นหาหุ้นลงทุนในไตรมาส 2 ได้ไม่ยากเท่าสูตรคำนวณหา สส.ปาตีลิสต์
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) คาดการณ์แนวโน้มตลาดหุ้นไทยช่วงไตรมาส 2/2562 ว่าจะแกว่ง sideway up ในกรอบแนวต้าน 1700/1730 จุด และแนวรับ 1600/1580 จุด ขานรับอานิสงส์เชิงบวกจากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวไทย รวมถึงการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการบริโภคในประเทศ บ่งชี้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ในช่วงถัดไป โดยประเมิน GDP ไทยปีนี้ที่ระดับ 3.8%
นอกจากนี้คาดว่าจะยังได้แรงหนุนเชิงบวกจากปัจจัยภายนอกที่ผ่อนคลายมากขึ้น นำโดยประเด็นสงครามการค้า (Trade war) ที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว ปัจจุบันมีสัญญาณบวกจากการพยายามเจรจากันระหว่างสหรัฐ และจีน และมีความคาดหวังต่อการบรรลุข้อตกลงได้ในระยะถัดไป
ดังนั้น นายวิจิตร จึงประเมินประเด็นสงครามการค้า ณ ปัจจุบันจะไม่เลวร้ายไปกว่าช่วงที่ผ่านมาแล้ว คาดจะช่วยปลดล็อคความกังวลต่อภาพเศรษฐกิจโลกชะลอตัวให้กลับมาขยายตัวเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังคาดตลาดสินทรัพย์เสี่ยงจะได้แรงหนุนเพิ่มเติมจาก นโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลก เช่น FED และ ECB ที่ผ่อนคลายมากขึ้น สอดคล้องกับการประชุม FOMC ครั้งล่าสุด ที่สะท้อนมุมมองของคณะกรรมการ FED สาขาต่างๆ ว่าดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐ ในปีนี้มีแนวโน้มจะคงที่ในระดับเดิม หรืออาจจะมีโอกาสปรับลดลงด้วย หากเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่เร่งตัวขึ้นตามคาด ถือเป็นปัจจัยหนุนที่สำคัญต่อการลงทุนในตลาดสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในกลุ่มกำลังพัฒนา (Emerging Market) มากขึ้น
สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตาคือ ความชัดเจนต่อการแยกตัวของสหราชอาณาจักรจากสหภาพยุโรป (Brexit) โดยสิ่งสำคัญคือ หากสหราชอาณาจักร แยกตัวแบบไร้ข้อตกลง อาจส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจทั้งของสหราชอาณาจักร และกลุ่มสหภาพยุโรปในช่วงถัดไปได้
นอกจากนี้ปัจจัยในประเทศเอง ต้องรอความชัดเจนของ การเมืองไทยหลังการเลือกตั้ง ว่าท้ายที่สุดจะเห็นเสถียรภาพเพิ่มเติมหรือไม่ ถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นความเชื่อมั่นต่อการลงทุนของทั้งนักลงทุนไทยและต่างชาติกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง
“สำหรับธีมการลงทุนเด่นในช่วงไตรมาส 2 เราแนะนำสะสม หุ้นใน 2 ธีมเด่น ดังนี้
1) กลุ่มที่ตอบรับปัจจัยร้ายๆ ในช่วงก่อนหน้าไปมากแล้ว ขณะที่ Valuation เริ่มเข้าสู่ระดับที่น่าสนใจ เช่น กลุ่มพลังงาน ขานรับสถานการณ์สงครามการค้าที่ผ่อนคลาย แนะนำ PTTEP ราคาเป้าหมาย 150 บาท , กลุ่มโรงกลั่น ค่าการกลั่นผ่านจุดต่ำสุดในช่วงเดือน มกราคม ไปแล้ว และไตรมาส 2 คาดได้แรงหนุนจากอุปสงค์มากขึ้นจากการเข้าสู่ช่วงฤดูกาล ผสานอุปทานลดลงจากโรงกลั่นทั่วโลกหยุดซ่อมบำรุงมากสุดในรอบปี แนะนำ BCP ราคาเป้าหมาย 39 บาท , กลุ่มการแพทย์ ราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาตอบรับความกังวลต่อการควบคุมค่ารักษาพยาบาลไปมากแล้ว ขณะที่ Valuation อยู่ในระดับที่น่าลงทุน แนะนำ BCH ราคาเป้าหมาย 20 บาท
2) กลุ่มที่คาดได้อานิสงส์เชิงบวกหลังการเลือกตั้ง และแนวโน้มอัตราการทำกำไรดีขึ้น ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก คาดการบริโภคไทยเร่งตัวขึ้นสอดคล้องกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐฯ แนะนำ BJC ราคาเป้าหมาย 65 บาท และ CPALL ราคาเป้าหมาย 86 บาท, กลุ่มท่องเที่ยว: จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาฟื้นเด่นตั้งแต่ต้นปี โดยประเมินปีนี้นักท่องเที่ยวมีโอกาสทะลุ 40 ล้านคน แนะนำ SPA ราคาเป้าหมาย 15.8 บาท
บล.ไอร่า ประเมินทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทย เฉพาะช่วงเดือนเมษายนนี้ ยังคงมีความผัวผวน เนื่องจากติดวันหยุดยาวช่วงสงกรานต์ อาจส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายเบาบาง-อาจชะลอการลงทุนบ้างเล็กน้อย แต่ในทางกลับกันยังมีปัจจัยบวกหนุน ที่อาจจะมีการเข้ามาให้เก็งกำไร นั่นคือ ผลประกอบการไตรมาส1/2562 ของกลุ่มบริษัทจดทะเบียน
ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ไอร่า (AIRA) ประเมินแนวโน้มการลงทุน ในช่วงเดือนเมษายนนี้ ว่า ทิศทางการลงทุนตลาดหุ้นไทย ยังมีความผันผวน ต้องยอมรับว่ามูลค่าการซื้อขายในเดือนนี้ อาจเบาบาง และมีโอกาสชะลอลงทุน เพื่อลดความเสี่ยง เนื่องจากช่วงวันหยุดยาวกลางเดือน แต่ในขณะเดียวกันยังคงมีปัจจัยบวก ที่ยังคงน่าจับตาเช่นเดียวกัน เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯเข้าสู่ช่วงประกาศผลประกอบการไตรมาส1/2562 ที่คาดว่า ภาพรวมจะออกมาในทิศทางที่ดีขึ้น ประกอบกับทิศทางราคาน้ำมัน ยังได้รับปัจจัยหนุนจากแผนลดการผลิตของกลุ่มผู้ผลิตน้ำมัน รวมถึงมาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน และ เวเนซูเอลา ทำให้ภาวะตลาดน้ำมันตึงตัว ทำให้ส่งผลดีต่อราคาหุ้นกลุ่มพลังงาน
“กรอบสัญญาทางเทคนิค ทางวิจัยมองว่า หลังเดือนมีนาคม SET เคลื่อนไหว Sideway ระหว่าง 1,615-1,646 จุด และได้ทำDouble Bottom เมื่อดัชนีหลุด 1,620 จุด ถึง 2 ครั้ง และสามารถดีดกลับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ดังนั้นที่บริเวณ 1,615 จุด จะมีนัยสำคัญมาก เพราะหากหลุดไปจะเป็นสัญญาณขาย ที่มี Target ถัดไปที่1,580 จุด เป็นอย่างน้อย แต่หาก Break 1,646 จุด จะมีแนวต้าน Double Top ถัดไปที่ 1,680 จุด ซึ่งเป็นจุดที่มีนัยสำคัญมากเช่นกัน เพราะหาก Break ได้จะเป็นสัญญาณซื้อขนาดใหญ่ที่มี Target ถึง 1,750 จุดเป็นอย่างน้อย”
พร้อมกันนี้ ทางฝ่ายวิจัย ยังคงแนะนำกลยุทธ์ลงทุน ในหุ้นที่น่าลงทุน โดยให้น้ำหนักไปยังกลุ่มโรงไฟฟ้า แนะนำ BGRIM และกลุ่มโรงพยาบาล แนะนำ BCH เนื่องจากมองว่าหุ้นในกลุ่มดังกล่าวมีผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตสม่ำเสมอ แม้เศรษฐกิจมีความผันผวน
นอกจากนี้ ยังแนะนำหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากโครงการต่างๆ ที่ทยอยเปิดประมูล พร้อมคาดยังได้รับปัจจัยหนุนจากแผนการลงทุนต่อเนื่องใน 2H/62 ของรัฐบาลชุดใหม่ เช่น STEC เป็นต้น ในขณะที่กลุ่มพลังงาน แนะนำ PTTEP โดยคาดว่ายังได้รับปัจจัยหนุนจากผลประกอบการ 1Q/62 มีแนวโน้มดีขึ้นเมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส คาดไม่มี Stock loss เช่นเดียวกับ ไตรมาส 4/2561 หลังราคาน้ำมันเฉลี่ยเพิ่มขึ้น และกลุ่มที่มีความน่าสนใจทั้งจากผลประกอบการที่มีแนวโน้มกลับมาเติบโต อาทิ CBG และหุ้นที่มีการจ่ายปันผลเป็นประจำ เช่น ADVANC (Div.Yield ประมาณ 4.0%) และ TSR (Div.Yield ประมาณ 8.0%) เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายวิจัย ยังแนะนำให้นักลงทุน จับตาปัจจัยต่างประเทศที่คาดว่าจะเข้ามา
ด้าน บล.คิงส์ฟอร์ด โดย นายอภิชัย เรามานะชัย รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ ให้ความเห็นว่า แนวโน้มการเคลื่อนไหวดัชนีหุ้นไทยในเดือนเมษายน 2562 คาดจะแกว่งตัวในกรอบระดับ1,620-1,670 จุด เนื่องจาก ส่วนใหญ่ยังคงรอติดตามผลสรุปประเด็นสำคัญ ทั้งในและต่างประเทศ เช่น ผลสรุปคะแนนการเลือกตั้งจาก กกต. ซึ่งจะต้อง รับรองผลการเลือกตั้ง 95% ให้ได้ก่อนวันที่ 9 พ.ค.หลังจากนั้น 15 วันจะมีการเรียกประชุมสภานัดแรกเพื่อเลือกประธานสภาฯ ผู้แทนราษฎร์และประธานวุฒิสภา หลังจากนั้นจึงลงคะแนน 2 สภา รวมเสียง 750 เสียง เพื่อสรรหานายกรัฐมนตรี ซึ่งคาดจะได้นายกฯ ใหม่ราวปลาย มิ.ย. ดังนั้นการ จับขั้วรัฐบาลจะเห็นชัดเจนในช่วงต้น พ.ค.
"กลยุทธ์การลงทุน เม.ย.นี้ ฝ่ายวิเคราะห์ประเมิน ดัชนี SET มีโอกาสเคลื่อนไหวในกรอบ 1,620-1,670 จุด โดยได้แรงหนุนจากช่วงจ่ายการเงินปัน ผลของหุ้นกลุ่มธนาคาร และ SCC รวมถึงรอประเมินคะแนนเสียงของพรรคการเมืองหลังจากผ่านช่วงเลือกตั้งซ่อม แนะนำทยอยซื้อหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการลงทุนหลังเลือกตั้ง เช่น AMATA, BBL, CK, STEC, WHA หุ้นที่ผลบวก จาก MSCI ปรับใช้ NVDR ในการคำนวณดัชนี MSCI Thailand เช่น DTAC, CENTEL, INTUCH, RATCH และเก็งกำไรหุ้นที่คาดกำไรไตรมาส 1/62 เติบโตดี เช่น BAY, BDMS, BH, CPF, DTAC, ERW, KTC, ROBINS, RS, SAWAD" นายอภิชัยกล่าว