หุ้นไทยมีเรื่องให้ลุ้นเยอะมาก หลังจากที่ลุ้นการเลือกตั้งใหญ่ผ่านมาแล้ว ยังต้องลุ้นต่อไปว่าใครจะได้จัดตั้งรัฐบาล และรัฐบาลจะมีเสถียรภาพขนาดไหน ซึ่งทำให้ลุ้นต่อไปว่านักลงทุนต่างชาติจะมีความมั่นใจเข้ามาลงทุนในหุ้นไทยหรือไม่ พร้อมกับลุ้นว่าผลการปรับสูตรคำนวณดัชนี MSCI 29 มีนาคม จะทำให้ฟันด์โฟลว์แบ่งไหลเข้ามาที่ไทยสัก 1,000 ล้านบาท หรือราว 30,000 ล้านบาทได้หรือไม่
เม็ดเงินลงทุนต่างชาติ หรือฟันด์โฟลว์ที่เข้ามาลงทุนในหุ้นไทยมีความสำคัญในการกำหนดบทบาททิศทางตลาดหุ้นไทยอย่างมาก
นับจากต้นปี 2562 ที่ผ่านมาจนถึง 25 มีนาคม 2562 นักลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนในการซื้อขายหุ้นไทยในอัตราส่วนสูงสุดคือประมาณ 40% ที่เหลือเป็นนักลงทุนรายบุคคลไทย 36% พร็อพเทรด 13% นักลงทุนสถาบัน (กองทุน) 11%
หุ้นไทยจะปรับขึ้นได้จึงอยู่ที่แรงหนุนจากเม็ดเงินลงทุนต่างชาติเป็นหลักอย่างที่รู้กัน และที่ผ่านมาหุ้นไทยขึ้นยากมากเพราะต่างชาติขายหุ้นสุทธิมาเป็นลำดับโดยเฉพาะในปี 2561 ขายสุทธิเกือบ 3 แสนล้านบาท เข้าปี 2562 ก็ยังขายสุทธิต่อเนื่อง จนเกือบสิ้นไตรมาส 1/2562 (2 มกราคม-26มีนาคม) ขายสุทธิ 12,000 ล้านบาท (แม้ว่าช่วง 1-2 วันก่อนวันเลือกตั้งจะมีตัวเลขซื้อสุทธิเข้ามาบ้าง)
ปัจจัยสำคัญที่สุดสำหรับการลงทุนในหุ้นไทยตอนี้คือ ประเด็นการเมืองเป็นหลักสำคัญ หลังจากมีการเลือกตั้งแล้วจะมีการฟอร์มทีมรัฐบาลได้อย่างเรียบร้อยหรือไม่อย่างไร ซึ่งจะทำให้นักลงทุนนำเงินเข้ามา ตามหลักการเมื่อยังไม่มีความชัดเจนความมั่นใจก็ไม่เกิด การหวังให้ต่างชาติกลับเข้าลงทุนแบบ “หนักมือ” จึงเป็นเรื่องที่หวังยาก
ทั้งนี้เม็ดเงินฟันด์โฟลว์ที่เข้ามา ทำให้ต่างชาติซื้อสุทธิบางๆในช่วง 21 มีนาคมนี้เป็นต้นมา แม้การเมืองจะไม่ค่อยนิ่งนั้น ถูกตีความว่าเป็นเม็ดเงินที่เข้ามาเพราะอานิสงส์จากเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาในภูมิภาคแล้วเจียดมาลงไทยบ้างนิดๆ หน่อยๆ มากกว่า เนื่องจากเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2562ที่ผ่านมา MSCI ได้ประกาศเพิ่มน้ำหนักบริษัทจดทะเบียนของจีนเข้าไปในการคำนวณดัชนี MSCI Emerging Market จาก 0.72% (พฤศจิกายน 2561) เป็น 3.3% ซึ่งจะมีผลต่อการคำนวณในเดือนพฤษภาคม 2562 นี้ ทำให้เม็ดเงินไหลเข้าตลาดจีนจำนวนมาก และส่วนหนึ่งตกหล่นมาลงในหุ้นไทยบ้าง
อีกส่วนหนึ่งที่ต้องลุ้นคือ การปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์สำหรับ Investment Limits ในการคำนวณดัชนี ซึ่งนี่คือความหวังสำหรับนักลงทุนไทย ที่ว่าจะทำให้มีเม็ดเงินฟันด์โฟลว์ไหลเข้ามาเพิ่ม โดยประเมินว่าจะราว 1,000 ล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ได้มีการตั้งความหวังกันมาตั้งแต่ต้นปีแล้วว่า MSCI กำลังจะปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์สำหรับ Investment Limits ในการคำนวณดัชนี ซึ่งจะกระทบต่อน้ำหนักการลงทุนในบางประเทศ รวมถึงจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของหุ้นเข้า/ออกและน้ำหนักการลงทุนของหุ้นรายตัว โดยรอผลการประกาศอย่างเป็นทางการในวันที่ 29 มีนาคม 2562 หลังการทำ Public Hearing จนถึง 14 มีนาคม
สำหรับกฎเกณฑ์ 4 ข้อ ที่ MSCI พิจารณาเปลี่ยนแปลง และจะมีผลในรอบ Semi-Annual Review เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป บล.โนมูระ พัฒนสิน ให้ข้อมูลว่าประกอบด้วย
1. กำหนดเกณฑ์การนำหุ้นที มี Individual Ownership Limits เข้าคำนวณในดัชนี โดยบริษัทกำหนด Individual Ownership Limits เพื่อเป็นการจำกัดสัดส่วนการถือลงทุนต่อบุคคล ซึ่งในบางประเทศ เช่น จีน อินเดีย และกลุ่มการเงินในรัสเซีย มีการกำหนดไว้เป็นกฎหมาย
แต่อย่างไรก็ดีการจำกัดสัดส่วนการถือลงทุนต่อบุคคลนั้น อาจเป็นการจำกัดการลงทุนของสถาบันด้วย MSCI จึงเสนอแก้ไขกฎเกณฑ์บางประการ ทั้งนี้ การเพิ่มกฎข้อนี้ ไม่มีผลต่อ MSCI Global Index อย่างมีนัยสำคัญ
2. ปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์หุ้นไทย ทำให้น้ำหนักในไทยอาจเพิ่มขึ้น จาก 2.5% สู่ 3% โดย MSCI ปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ในการนำหุ้นไทยเข้าคำนวณในดัชนี โดยในปัจจุบัน MSCI คิดคำนวณจาก Foreign Share แต่เนื่องจาก Foreign Share มี Foreign Ownership Limits (FOL) ซึ่งคือการจำกัดสัดส่วนการถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติ จึงทำให้หุ้นที่มี FOL เหลือน้อย (เช่นหุ้นที่ผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นนักลงทุนต่างชาติอยู่แล้ว) ไม่สามารถเข้าคำนวณในดัชนีได้ แม้ว่าจะเป็นหุ้นขนาดใหญ่ก็ตาม
ดังนั้น MSCI จึงปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ โดยคิดคำนวณจาก NVDR แทน โดยกลุ่มการเงินจะยังมีการจำกัดสัดส่วนของ NVDR แต่สำหรับกลุ่ม Real Sector จะไม่มีการจำกัดสัดส่วน FOL หรือ NVDR จึงทำให้หุ้นที่ FOL เหลือน้อย แต่มีสัดส่วน NVDR และมีมูลค่าตลาดสูง จะเข้าคำนวณในดัชนีใหม่ได้
บล.โนมูระพัฒนสิน ให้ความเห็นเพิ่มว่า สำหรับกฎเกณฑ์ใหม่นี้ ถ้าได้รับการอนุมัติ คาดว่าน้ำหนักของไทยใน MSCI EM จะเพิ่มขึ้นจาก 2.5% สู่ 3% คิดเป็นเม็ดเงินจาก Passive Fund กว่า 1,110 ล้านดอลลาร์ หรือราว 35,000 ล้านบาท ที่จะกระจายเข้ามาในหุ้นใน MSCI Thailand
อย่างไรก็ตาม จะมีหุ้น 4 บริษัท ที่คาดว่าจะถูกนำเข้าคำนวณใหม่ในรอบเดือนพฤษภาคมนี้ ได้แก่ INTUCH, DTAC, RATCH, CENTEL ขณะที่หุ้นที่เสี่ยงถูกถอดออก คือ MTC
3. การเปลี่ยนแปลงการคำนวณ Foreign Ownership Limit สำหรับหุ้นอินเดีย โดย MSCI ปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์การคำนวณ Foreign Ownership Limits (FOL) โดยไม่รวม Depositary Receipts (DR คือ ตราสารแสดงสิทธิการฝากหลักทรัพย์ต่างประเทศ) เข้าไปในการคำนวณ สะท้อน Liquidity ลดลง ในกรณีนี้จะส่งผลลบต่อน้ำหนักการลงทุนของตลาดหุ้นอินเดียในดัชนี MSCI EM โดยจะลดลงจาก 8.78% สู่ระดับ 8.55%
4. หุ้นที่มี Foreign Room ต่ำกว่า 3.75% จะถูกถอดออกทันที โดยในปัจจุบัน หุ้นที่มี Foreign Room ต่ำกว่า 3.75% จะถูกเข้าไปอยู่ใน MSCI GIMI หากสภาพคล่องของ Depositary Receipts ยังสูง แต่สำหรับกฎเกณฑ์ใหม่นี้ หุ้นที่มี Foreign Room ต่ำกว่า 3.75% จะถูกถอดออกทันที โดยไม่มีข้อแม้
โนมูระไดเรค ลงความเห็น( 2 วันก่อนเลือกตั้ง) ว่า..ภาพการลงทุนเอเชีย มีความชัดเจนในเชิงบวก ต่อกระแสเงินไหลเข้า ส่วน SET กระแสเงินเข้าไทยสะดุดไปเมื่อ 9 กุมภาพันธ์ 2562 และคาดว่าจะกลับมาไหลเข้าเชิงบวกหลังวันจันทน์ที่ 25 มีนาคม 2562 ภายใต้สมมติฐานหลังการเลือกตั้งไทยจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ กอปรกับ Upside Risk เงินไหลเข้าจาก MSCI เรื่องเงื่อนไขใหม่ของ NVDR (ทราบผล 29 มี.ค.) ซึ่งถ้ารับเงือนไขนี้ MSCI Thailand จะมีมูลค่าตลาด (Market Cap) เพิ่มราว 22% กรณีสมมติ หุ้นไทยตัวอื่นๆ ไม่ขยับขึ้นเลย SET จะขึ้นไปทดสอบ 1,750จุดจากประเด็นนี้ได้
ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุน ไตรมาส 2/2562 มอง SET อย่างน้อย 1,720-1,760 จุด ภายใต้เป้าหมายปีนี้ 1,774-1,825จุด ให้เน้น Theme การลงทุน
1) หุ้นที่เป็นเป้า Fund Flow จาก Upside Risk การปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ MSCI ซึ่งหาก 29 มี.ค.นี้อนุมัติ จะหนุนให้มีหุ้นที่มีโอกาสเข้าคำนวณในดัชนีรอบเดือนพฤษภาคม Outperform เด่น แนะ INTUCH, DTAC, CENTEL และเพิ่มน้ำหนัก KBANK, BDMS
2) Recovery Play สำหรับหุ้นที่ผลประกอบการปี 2561 ชะลอตัว แต่มีแนวโน้มที่จะกลับมาฟื้นตัวเด่นในปี 2562 แนะนำ AAV, BGRIM, RS, STPI
3) หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลักการเลือกตั้ง และการเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น บวกต่อ BJC, STEC, AMATA
ก่อนหน้านี้ นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า ปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติถือครองหุ้นไทยผ่านใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทย เป็นตราสารที่ออกโดย บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ (NVDR) ในระดับค่อนข้างสูง ดังนั้นการที่ MSCI เปิดรับฟังความคิดเห็น และจะปรับเกณฑ์การนำหุ้นไทยเข้าคำนวณในดัชนี MSCI ซึ่งจะนำหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติถือครองผ่าน NVDR มาคำนวณร่วมด้วย จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยให้มีน้ำหนักมากขึ้น รวมถึงกองทุนต่างประเทศที่มีการลงทุนอ้างอิงน้ำหนักของดัชนี MSCI จะมีการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนมากขึ้น โดยปัจจุบัน ตลาดหุ้นไทยมีสัดส่วนใน MSCI EM อยู่ที่ 2.5%”
ทั้งนี้จากภาพที่เกิดขึ้น ถ้าผลจากการปรับสูตร MSCI ออกมาและมีน้ำหนักให้เงินเข้ามาลงทุนได้มากกว่า น้ำหนักจากความไม่เชื่อมั่นเรื่องเสถียรภาพทางการเมืองของไทยหลังเลือกตั้ง ความเป็นไปได้ที่หุ้นจะขึ้นเป็นบวกจึงยังมีอยู่