TFD เปลี่ยนชื่อเป็น JCK แล้วเฮง ประเมินปีหมูสดใส ทั้งรายได้และกำไร โดยตั้งเป้ายอดขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี 2 จำนวน 200 ไร่ ขณะที่เร่งพัฒนานิคมฯ โครงการ 2 มีความคืบหน้าแล้วกว่า 65% แถมเตรียมเจรจาขายคลังสินค้าในอังกฤษอีก 1 แห่ง มูลค่า 700-800 ล้านบาท เตรียมตัวจัดตั้งกองรีทขนาด 2,000-2,500 ล้านบาทในสิ้นปีนี้/อย่างช้าต้นปีหน้า
นายอภิชัย เตชะอุบล ประธานกรรมการ และประธานกรรมการบริหาร บริษัท เจซีเค อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ JCK (เดิมคือ TFD) คาดว่าผลการดำเนินงานในปี 2562 จะเติบโตต่อเนื่องจากปี 2561 ที่มีผลกำไรจากการดำเนินงานเกือบ 180 ล้านบาท แต่เนื่องจากต้องรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนการกิจการร่วมค้าที่ลงทุนโครงการคอนโด The Artisan ที่อยู่ระหว่างก่อสร้างประมาณ 93 ล้านบาท ทำให้บริษัทมีผลกำไรสุทธิในปี 2561 เท่ากับ 85 ล้านบาท
สำหรับปี 2562 คาดว่ารายได้จากการขายที่ดินจะเป็นปัจจัยหลักที่จะสร้างรายได้ และผลักดันผลประกอบการของบริษัทให้เติบโตต่อเนื่องจากปี 2561 เพราะธุรกิจนิคมฯ มีอัตรากำไรค่อนข้างสูง และปัจจุบันมีลูกค้าที่สนใจซื้อที่ดินโครงการของบริษัทอยู่หลายรายทั้งผู้ประกอบการเดิมที่อยู่ในนิคมฯ และลูกค้ารายใหม่ เนื่องจากโครงการของบริษัทเป็นนิคมฯ ที่ตั้งอยู่ในเขต EEC ประกอบมีโลเกชันที่ดี ติดตลอดแนวถนนมอเตอร์เวย์เกือบ 4 กิโลเมตร และติดถนนบางปะกง-ฉะเชิงเทรา อีกทั้งเป็นนิคมในเขต EEC ที่ตั้งอยู่ใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุดทำให้ที่ดินของนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี มีความน่าสนใจมากขึ้น
“ปี 2562 จะสามารถปิดยอดขายที่ดินในนิคมทีเอฟดี 2 ได้ไม่น้อยกว่า 200 ไร่ และยังได้รับอานิสงส์จากวิกฤตสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา ทำให้มีลูกค้ารายใหม่หลายรายจากประเทศจีนที่อยู่ระหว่างการตัดสินใจย้ายฐานการลงทุนมาไทยอีกเพียบ
สำหรับโครงการนิคมอุตสาหกรรม ทีเอฟดี 2 นั้น ตอนนี้มีความคืบหน้าไปกว่า 65% และคาดว่าจะแล้วเสร็จไม่เกินไตรมาสที่ 3 ของปี 2562
ขณะที่ธุรกิจคลังสินค้าในประเทศอังกฤษ ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาขาย Warehouse 1 แห่ง ซึ่งคาดว่าน่าจะสามารถขายและรับรู้รายได้ไม่เกินกลางปี 2562 โดยมีมูลค่าขายอยู่ประมาณ 700-800 ล้านบาท ส่วนธุรกิจคลังสินค้าในไทยเป็นคลังสินค้าให้เช่า มีแนวโน้มที่ดี โดยคาดว่าในปี 2562 น่าจะปล่อยเช่าพื้นที่ได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 30,000 ตารางเมตร เมื่อรวมกับพื้นที่เช่าปล่อยเดิมอีกประมาณ 32,000 ตารางเมตร ยอดรวมจะเพิ่มขึ้นเป็น 62,000 ตารางเมตร”
ทั้งนี้บริษัทมีนโยบายจะขายคลังสินค้าบางส่วน เข้าไปเป็นสินทรัพย์หลักของกอง REIT ซึ่งน่าจะมีขนาดเสนอขายไม่น้อยกว่า 2,000-2,500 ล้านบาท และคาดว่ารายได้ในส่วนนี้ บริษัทจะรับรู้เข้ามาประมาณไตรมาส 4 ปี 2562 หรืออย่างช้าไม่เกินกลางปี 2563
นอกจากนี้ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2562 บริษัทได้ทำสัญญาซื้อขายโรงงานและคลังสินค้าที่บางเสาธง จำนวน 2 หลัง ซึ่งเป็นโรงงานว่าง 1 หลัง และที่เช่าอยู่แล้ว 1 หลัง คาดจะโอนกรรมสิทธิ์และรับรู้รายได้เข้ามาในไตรมาสที่ 1 ของปี 2562 มูลค่าขายรวมประมาณ 100 ล้านบาท และอยู่ระหว่างเจรจาขายเพิ่มเติมอีก 1 หลัง ซึ่งเร่งจะปิดขายให้ได้ภายในไตรมาส 1 ของปี 2562
สำหรับธุรกิจคอนโดมิเนียม บริษัทได้เข้าร่วมลงทุนในโครงการ The Artisan กับพันธมิตรด้านอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่จากประเทศจีน มูลค่าโครงการรวม 6,800 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดจองแล้วเกือบ 60% มีความคืบหน้าในการก่อสร้างไปแล้วประมาณ 30% บริษัทคาดว่าจะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์และรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนดังกล่าวในช่วงปลายปี 2562 เป็นต้นไป