top of page
369286.jpg

Brexit ภัยเสี่ยงตัวแรกปี 2019 สำแดงฤทธิ์


ในบรรดา 10 ภัยเสี่ยง (economic risks) ที่สุดของปี 2019 ภัยแรกคือ Brexit เริ่มสำแดงเดชแล้ว

Brexit เป็นสัญญาณเตือนโลกว่า โลกกำลังจะเปลี่ยนไป จาก Globalization โลกไร้พรมแดน มาเป็น Deglobalization โลกที่อยู่กันแบบตัวใครตัวมัน

การตั้งสหภาพยุโรปที่มีสมาชิกประเทศถึง 29 ประเทศนั้น หัวใจสำคัญคือโลกไร้พรมแดนภายในทวีปยุโรป ที่ครอบคลุมตั้งแต่การข้ามพรมแดนไปจนถึงเขตปลอดภาษีในรูปของ Common Market

Common Market คำนี้เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 1960-1970 ที่ยุโรปรวมตัวกันเป็น European Economic Community ประชาคมเศรษฐกิจยุโรป หรือ European Union สหภาพยุโรป (EU) ใช้สกุลเงินร่วมกันคือ Euro นอกเหนือจากสกุลเงินท้องถิ่นหรือของแต่ละประเทศ

ยกเว้นอังกฤษ ที่ไม่จำเป็นต้องใช้เงินยูโร เพราะปอนด์เป็นเงินสกุลหลักของโลกรองจากดอลลาร์สหรัฐมานานแสนนานแล้ว

ไม่เพียงแต่สินค้าและบริการที่แต่ละประเทศสมาชิก จะสามารถนำเข้าหรือส่งออกระหว่างกันโดยเสรีเท่านั้น ในส่วนแรงงานและทุนก็ยังสามารถเคลื่อนย้ายไปมาระหว่างประเทศสมาชิกได้อย่างเสรีเช่นกัน

แรกตั้งก็ดูดี เป็นปึกแผ่น ทั้งด้านการเมือง ด้านเศรษฐกิจ จนดูราวกับว่า “ประเทศสหภาพยุโรป” เป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับ 1 ของโลกเคียงคู่กับสหรัฐ แต่จากการที่ปฏิญญามีเนื้อหาครอบคลุมถึงการเมือง กฎหมาย สังคมฯลฯเช่นมีรัฐสภายุโรป (European Parliament) ศาลยุติธรรมยุโรป (European Court of Justice) เพื่อออกกฎหมายและแก้ไขข้อพิพาทที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายของสหภาพยุโรป ทุกด้าน

ทำให้เกิดความอึดอัดสำหรับบางประเทศที่เคยเป็นมหาอำนาจโลก เพราะดูคล้ายกับอียูเป็นอำนาจซ้อนอำนาจรัฐบาลของตน

ด้านเศรษฐกิจ ดูคล้ายกับว่า อียูจะสร้างภาระฉุดรั้งเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกที่มีฐานะดีกว่าเพื่อนๆ อย่างกรณีที่ต้องแบกรับภาระกรีซมิให้ล้มละลายเป็นต้น

นอกจากการที่ฝั่งอเมริกาเหนือ ที่รวมตัวกันหลวมๆด้านเศรษฐกิจเช่นกันเป็น North American Free Trade Agreement (NAFTA) ที่สหรัฐเป็นหัวเรือใหญ่นั้น สหรัฐเป็นฝ่าย “ขาย” มากกว่าซื้อ จึงทำให้ไม่ค่อยมีบทบาทในการค้ากับกลุ่มอื่นๆมากนัก จนเมื่อเกิดภาวะถดถอยครั้งใหญ่ (Great Recession) 2008-2010 ยุโรปและคู่ค้าสำคัญของสหรัฐพากันถดถอยตาม

ขณะที่สหรัฐใช้มาตรการผ่อนปรน QE ดอกเบี้ย Fed 0% อียูกับญี่ปุ่น ก็ใช้ตาม ซ้ำเลิกใช้ช้ากว่า...ภาวะถดถอย การค้าของโลกตกต่ำ โดยอัตราเติบโตเหลือ 2-3% ทำให้ความเป็นโลกไร้พรมแดนคลอนแคลน

สหรัฐเป็นตัวนำ เริ่มจากการถอนตัวจาก TPP (Trans-Pacific Partnership Agreement) ในฐานที่สหรัฐมีอาณาเขตจรดมหาสมุทรแปซิฟิกอีกด้าน โดยไทยเป็นสมาชิกในปี 2012

ต่อมากลุ่ม G20 ที่มีสมาชิกเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหญ่ที่สุดในโลก 20 ประเทศรวมถึง EU สหรัฐก็ทำเกเร จนล่าสุด World Economic Forum (WEF) ที่จะมีการประชุมประจำปีกันที่เมืองดาวอส 22-25 ม.ค.นี้ ผู้นำสหรัฐทำท่าจะเบี้ยวอีก

เพราะนอกจากจะมีการประชุมเรื่องโลก 4.0 แล้ว ยังจะพูดกันถึงการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (climate change) ด้วย ซึ่งสหรัฐไม่เอาด้วย เพราะได้ถอนตัวจากข้อตกลงปารีสแล้ว

โดยสหรัฐไม่ยอมลดมลภาวะอันเกิดจากควันที่ปล่อยออกมาจากโรงงานอุตสาหกรรมที่บางส่วนยังใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง เพราะเป็นพลังงานราคาถูกที่สุด

เป็นไปตามทฤษฎีที่ว่า เมื่อสถานการณ์การค้าตกต่ำเมื่อใด ชาติที่เสียหายทางการค้ามากที่สุด ซึ่งมักจะเป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ จะแยกตัวจากกลุ่มหรือเขตการค้าเสรี (Customs Union)

อังกฤษก็เป็นเช่นนั้น Brexit พยายามออกจากอียูโดยไม่มีเงื่อนไข (No Deal)

การลงมติว่า การออกจากสมาชิกภาพอียู ในรัฐสภาเมื่อวันที่ 15 ม.ค.คว่ำข้อตกลง เงื่อนไขที่ นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรี ทำไว้ขาดลอย กระเทือนไปทั้งโลกเหมือนกัน ค่าเงินปอนด์อ่อนยวบโดยไม่รู้สาเหตุ แต่ก็มีข่าวลือว่า เครดิตสวิต แนะนำลูกค้าของตนให้ย้ายฐานจากประเทศอังกฤษไปอยู่ประเทศอื่น ทำให้มีการเทขายสินทรัพย์ในอังกฤษกันมาก

Oliver Wyman บริษัทที่ปรึกษาการเงินสำคัญของโลก เปิดเผยว่า นักการเงินการธนาคาร ย้ายออกจากลอนดอนกันมาก อาจจะถึง 40,000 คน ทำให้ดัชนีหุ้นของอังกฤษลดลงถึง 7% ในช่วงปีที่ผ่านมา ต่างจากดัชนีเฉลี่ย ลด 3% ของโลก

อังกฤษยื่นถอนตัวจากอียูเมื่อ 23 มิ.ย. 2016 และมีผลในวันที่ 29 มีนาคม ศกนี้

นางเมย์แม้จะแพ้โหวต เรื่องแผน Brexit ไปเมื่อวันที่ 15 ม.ค.ที่ผ่านมา ทว่ายังไม่ยอมลาออก ยังมีทางออกอีกทางคือ Plan B ที่จะยื่นเข้าสภาในสัปดาห์หน้า พบกันครึ่งทางระหว่าง มีเงื่อนไขชดใช้ค่าเสียหายให้ อียูและอื่นๆ กับ ไม่มีเงื่อนไข ขาดสะบั้น no deal กันไปเลย

ผลกระทบนั้น ย่อมมีต่อตลาดทุน ตลาดเงินตรา ตลาดหุ้นทั่วโลก ตามประสาคนขวัญอ่อนในยุคเศรษฐกิจส่ออาการเป็นขาลงในยามนี้

38 views
bottom of page