top of page
312345.jpg

นักลงทุนไทยต้องอึด!! พอร์ตแดงๆมีลุ้นปีหน้า


เอกภาวิณ สุนทราภิชาติ รองผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ แจงสถานการณ์ปัจจัยลบผ่อนคลาย เริ่มมองเห็นปัจจัยบวกมากขึ้น โดยเฉพาะประเด็นสงครามการค้าที่ตกลงพักรบกัน 90 วัน ... ย้ำนักลงทุนต้องอึดและอดทนหน่อย แม้พอร์ทหุ้นจะแดงแต่ถ้าทนถือไประยะหนึ่ง โดยเฉพาะหุ้นพื้นฐานดีต้นทุนต่ำ ถือยาวๆข้ามปีไปเลย

 

ผ่านมา 11 เดือนเข้าเดือนสุดท้ายของปีแล้ว คุณเอกภาวิณมองตลาดหุ้นเป็นอย่างไร นักลงทุนแพ้หรือชนะ

เรียกว่าสะบักสะบอมแล้วกันครับ ... ทั้งตลาดในปีนี้ปรับตัวลงตั้งแต่ต้นปีมา แล้วจะเห็นได้ว่าลงเกือบทุกเดือน มีแค่ฟื้นตัวประมาณ 2-3 เดือนในช่วงกรกฎาคม สิงหาคม และ กันยายน ซึ่งหุ้นในตลาดหุ้นโลกก็เป็นไปด้วย

นับว่าปีนี้ เป็นปีที่เล่นค่อนข้างยาก เป็นภาวะขาดทุนเป็นส่วนใหญ่

1 เดือนที่เหลือของปี 2561 คิดว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร

สำหรับภาพในเดือนธันวาคม คิดว่าเป็นภาพภาวะการฟื้นตัวจากบริเวณ 1,600 จุด เป็นภาพผ่านได้รับการฟื้นตัว โดยมีปัจจัยหนุนจากการประชุม G20 ที่ โดนัลด์ ทรัมป์ และ สี จิ้นผิง ได้พูดคุยกันตกลงสงบศึกชั่วคราว ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีว่าเรื่อง Trade War ที่กระทบกับเศรษฐกิจ เขาเห็นพ้องต้องกันว่าปีหน้าอาจจะไม่มีแล้วสำหรับการตั้งกำแพงภาษีระหว่างกัน เป็นภาพที่ดีว่าเรื่อง Trade War จะยุติในปีหน้า แต่ในรายละเอียดต้องตามต่อไป

ส่วนเรื่องที่ 2 คือ กระแสเงินทุนของต่างชาติที่ตลอด 11 เดือนไม่ได้เข้ามาเยอะมาก คิดว่าในเดือนธันวาคมมีลุ้นว่าจะเริ่มมีกระแสทุนไหลเข้ามาเพราะว่า 1. เฟด ส่งสัญญาณชะลอตัวการขึ้นดอกเบี้ย ไม่ว่าจะเป็นถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวลล์ หรือรายงานการประชุมเฟดล่าสุดที่ออกมา ทำให้คาดการณ์ Yield พันธบัตรของสหรัฐฯ เป็นภาพการปรับตัวลง จึงมองว่าเม็ดเงินน่าจะไหลกลับเข้ามาตลาดหุ้น Emerging Market อีกครั้ง เพราะถ้าเราดูตลาดเพื่อนบ้านไม่ว่าจะเป็น อินโดนิเซีย ฟิลลิปปินส์ จะเห็นว่า ในเดือนพฤศจิกายนต่างชาติขายประมาณ 600-700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพราะฉะนั้นคาดว่าในเดือนธันวาคม Fund Flow มีโอกาสกลับเข้ามา

รวมถึงแนวโน้มดอกเบี้ยบ้านเรา ซึ่งจะมีการประชุม กนง. วันที่ 19 ธันวาคม นี้ ที่มีท่าทีว่าจะเริ่มมีการพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี เสียงของกรรมการ กนง.เริ่มเห็นว่าอยากให้ขึ้นดอกเบี้ยมากขึ้น นับเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ทำให้ Fund Flow ไหลกลับเข้ามา

ผมจึงมองว่าตลาดน่าจะปรับตัวขึ้นได้ต่อจากช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนที่เริ่มฟื้นจาก 1,600 แล้ว

มองข้ามไปถึงปี 2562 จะเป็นอย่างไร

ปีหน้า 2562 น่าจะเป็นภาพการฟื้นกลับมาได้ เพราะอย่างปีนี้ตลาดปรับตัวลง ปีหน้าอาจจะลุ้นถึงเม็ดเงิน Fund Flow ต่างชาติที่จะไหลกลับเข้ามาได้ ไม่ว่าจะเป็นจากปัจจัยแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยเป็นแนวโน้มขาขึ้นแล้ว ส่วนสภาพเศรษฐกิจไทยก็มีแนวโน้ม GDP เติบโตได้ดี ขณะที่ Earning ของบริษัทจดทะเบียนเติบโตประมาณ 8% ถือว่าเป็นทิศทางที่ดี

อย่างไรก็ตาม ปีหน้าอาจจะมีความผันผวนบ้าง จากปัจจัยทางการเมืองของไทย

แต่ผมมองถึงประเด็นหลักของตลาดหุ้นทั่วโลกมากกว่าว่าน่าจะดีจากประเด็นพิเศษที่เฟดชะลอเรื่องดอกเบี้ย หรือเม็ดเงินไหลกลับเข้ามาในตลาด Emerging Market เป็นปัจจัยหนุนทำให้ตลาดปรับตัวขึ้นมาได้ เป้าหมายดัชนี น่าจะกลับไปที่ 1,800 หรือ 1,850 จุด ได้เป็นเป้าหมายแรก

ถ้าเฉพาะเดือนธันวาคม ดัชนีตลาดน่าจะไปได้ถึงไหน

เดือนธันวาคมมองเป็น 2 แนว คือ แนวแรกอยู่ที่ประมาณ 1,680-1,690 จุดก่อน ถ้าผ่านไปได้ก็น่าจะอยู่ที่ประมาณ 1,760 จุด ซึ่งแนวแรก 1690 น่าผ่านได้ คิดว่ามีโอกาสขึ้นมาถึงแนวนี้ได้

มองว่าปัจจัยบวกมากขึ้น

มองว่าปัจจัยบวกเริ่มเข้ามา จากที่ทั้งปีเราเผชิญปัจจัยลบหลักเรื่อง Trade War ตอนนี้สัญญาณเริ่มดีแล้วว่า ปีหน้าเริ่มจะมีการลดลาวาศอกกัน

ถ้าไปดูราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงมาเยอะก็มีโอกาสกลับมาฟื้นตัวได้ เพราะว่าอุปทานที่เพิ่มขึ้นมา อันนี้จัดการได้โดยกลุ่มโอเปกที่มีการประชุมกันในวันที่ 6 ธันวาคม 2561 ซึ่งมีการลดกำลังการผลิต ส่วนอุปสงค์ที่ชะลอตัวและการค้าโลกที่ชะลอ ถ้า Trade War จบไปแล้วและการค้าโลกกลับมาดีเศรษฐกิจโลกกลับมาเติบโต อุปสงค์น้ำมันก็กลับมาเพิ่มขึ้น

จะเห็นว่าภาพเป็นคนละอย่างกันเลยกับปัจจุบันที่ซัพพลายเพิ่มอุปสงค์ลดราคาน้ำมันลง แต่พอ Trade War เข้ามาและโอเปกลดกำลังการผลิต ซัพพลายจะลดลงอุปสงค์จะเพิ่มขึ้น มองว่าราคาน้ำมันมีโอกาสปรับตัวขึ้นมาได้

เพราะฉะนั้นน้ำหนักปัจจัยบวกเริ่มมีเข้ามาแล้ว 2 ประเด็น คือ Trade War เริ่มคลายกังวลแล้ว และ เฟดส่งสัญญาณชะลอขึ้นดอกเบี้ย น่าจะเป็นปัจจัยหลักทำให้ตลาดสามารถปรับตัวขึ้นได้และปัจจัยลบที่เคยมีในช่วงที่ผ่านมาค่อยๆบรรเทาลง

คิดว่านักลงทุนที่มีอิทธิพลในตลาดหุ้น คือต่างชาติ ตลาดไทยเรายังต้องพึ่งพิงต่างชาติ แต่การที่เขายังขาย จะทำให้ส่วนอื่นคานน้ำหนักกันไหวไหม

ก็ไหวนะครับ คือ เราจะเห็นว่าทั้งปีต่างชาติออกไปเยอะมาก มากที่สุดตั้งแต่เราเคยเห็นกันมา แต่ก็ถือว่าดัชนีหุ้นยังแข็งพอควร ไม่เหมือนตอนปี 2556 ที่ Fund Flow ไหลออกเหมือนกันกับตอนนี้ แต่ตอนนี้สถาบันการเงินในประเทศมีบทบาทมากยิ่งขึ้น สามารถเป็นผู้กำหนดตลาดได้เหมือนกันโดยเฉพาะถ้ามีแรงซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เราเห็นว่าตลาดหุ้นสามารถปรับตัวขึ้นได้

และประเด็นหลักคือมี LTF RMF ด้วย สภาพคล่องของแบงก์เยอะ หลักๆ ผ่านไปได้ดีที่มีการขายกองทุนและมีการซื้อเข้ามาทำให้ตัวกองทุนมีเม็ดเงิน ทำให้ตลาดปรับตัวขึ้นได้แม้ว่าต่างชาติจะขาย แต่ที่เรามองว่าต่างชาติน่าจะกลับเข้ามาด้วย จึงกลายเป็นปัจจัยหนุนที่ทำให้ตลาดปรับตัวขึ้นมาได้

สำหรับนักลงทุนที่ที่ถือหุ้นอยู่จนถึงขณะนี้ สามารถถือข้ามปีได้หรือไม่ ถ้าเป็นลักษณะนี้คือยังไม่จำเป็นต้องรีบขายก็ได้ใช่หรือไม่

ใช่ครับ คือ ผมบอกนักลงทุนหลายๆ ครั้งก็อาจจะกังวลหน่อยเพราะพอร์ตอาจจะแดง แต่อย่าเพิ่งถอดใจ อย่าเพิ่งล้างพอร์ต เพราะว่าบางทีปัจจัยลบอาจจะมาจากปัจจัยภายนอก ขณะที่ในประเทศเศรษฐกิจเราเริ่มเป็นขาขึ้นแล้วอย่าง GDP แต่ก่อนเราเติบโตประมาณ 3-3.5% แต่ตอนนี้ขึ้นมา 4% แล้ว ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนเติบโตปีละประมาณ 8-9% ในอีก 2 ปีข้างหน้า แต่ว่าที่มันลงเพราะมาจากเหตุปัจจัยลบภายนอก เรื่อง Trade War เข้ามาทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ซึ่งสุดท้ายแล้ว อเมริกาและจีนก็กลับมาคุยกันเหมือนเดิมเพราะถ้าทำไปก็เหมือนไปทำร้ายตัวเอง เศรษฐกิจโลกชะลอตัวเศรษฐกิจจีนกระทบเศรษฐกิจสหรัฐฯมีปัญหาด้านเงินเฟ้อ

เพราะฉะนั้นเมื่อ ปัจจัยภายนอกคลี่คลายแล้ว ซึ่งไม่ใช่วิกฤตเศรษฐกิจ ตลาดที่ลงมาเยอะหลายท่านอาจมองว่าวิกฤตเศรษฐกิจเกิดขึ้นแล้วหรือไม่ ... มันไม่ใช่วิกฤตเศรษฐกิจ....อยากให้มองว่าวิกฤตเศรษฐกิจ ถ้าจะเกิดต้องเป็นเร่องของ อัตราเงินเฟ้อสูง อัตราดอกเบี้ยขึ้นมาสูง ถึงใกล้จะเกิดฟองสบู่แตกเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ แต่ที่ผ่านมานี้ตลาดเหมือนพักตัวแล้วปรับตัวขึ้นต่อ จะเห็นว่าพอลงไป 1,600 เหลือ 1,585 แล้วก็ฟื้นตัวได้เร็วมาก เพราะมีเหตุผลเรื่องมูลค่าด้านพื้นฐานเข้ามาช่วย

คือ ต้องอดทนหน่อย ถึงพอร์ทเราจะแดง แต่ถ้าถือในระยะหนึ่ง โดยเฉพาะหุ้นพื้นฐานดีสุดท้ายแล้วถ้าถือต่อไป และเราซื้อในระดับต่ำด้วยก็น่าจะสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกับเราได้

7 views
bottom of page