ทุนจีนมาไทยเป็นระลอกๆ ดาหน้าเข้ายึดกิจการตั้งแต่ริมฟุตบาทไปจนถึงนิคมอุตสาหกรรม และแม้กระทั่งมหาวิทยาลัย จนแนวโน้มมีเมืองมหาวิทยาลัยจีนให้เห็นในไม่เกิน 1 ปี
ในยามเศรษฐกิจซบเซาเป็นไปตามทฤษฎีกบต้ม รัฐบาลพยายามหาเม็ดเงินเข้าประเทศโดยเฉพาะการลงทุนจากต่างประเทศ จีนเป็นเป้าหมายสำคัญแทนที่ญี่ปุ่นหลังจากทุนญี่ปุ่นเริ่มถดถอยหันไปใช้นโยบาย Thailand Plus One
คือบริษัทญี่ปุ่นที่มีฐานอยู่ในประเทศไทยอยู่แล้ว ให้หยั่งอีกขาหนึ่งในประเทศอาเซียนอีกแห่ง แทนการขยายการลงทุนในไทย
การลงทุนของต่างประเทศในไทยนั้น ในทศวรรษก่อนๆ ทุนญี่ปุ่นจะมีสัดส่วนถึง 60-65 % ของการลงทุนต่างประเทศในไทยทั้งหมด แต่วันนี้สัดส่วนของญี่ปุ่นลดลงต่ำกว่า 60% มาหลายปีแล้ว และมีทีท่าว่าทุนจีนจะแซงขึ้นมาแทนที่
การสร้างระเบียงเศรษฐกิจตะวันออกหรือ EEC ของรัฐบาลแม้เป้าหมายเพื่อส่งเสริมการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมของไทย แต่โดยเนื้อแท้แล้ว มุ่งหวังดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (DFI) มากกว่า โดยเฉพาะจากจีน
แต่กว่านิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้จะเสร็จสมบูรณ์ ทุนจีนก็กระจายไปทั่วเมืองสำคัญๆ ไปหมดแล้ว
อุตสาหกรรมแรกที่ทุนจีนเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดก็คือด้านท่องเที่ยว ทั้งนี้เพราะนักท่องเที่ยวจีนเป็นกลุ่มที่เข้ามาเที่ยวไทยมากที่สุด
เชียงใหม่ พัทยา ประตูน้ำ ถนนพระราม 9 ห้วยขวาง คลองถม พันธุ์ทิพย์ น้อมจิต เยาวราช ฯลฯ เป็นแหล่งที่ชาวจีนมาลงทุนประกอบธุรกิจ
ก่อนหน้านี้ ทุนจีนเข้ามาลงทุนปลูกผลไม้ยอดนิยมทางเหนือสุดของไทยและลาว โดยปลูกกล้วยหอมทองเป็นหลักส่งกลับไปป้อนตลาดจีนตอนใต้
นักลงทุนจีนเหล่านี้ ส่วนหนึ่งมาพร้อมกับสินค้าของตน เช่นนักท่องเที่ยว ชิ้นส่วนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ สินค้าเทคโนโลยีทุกด้าน สินค้าอุปโภคราคาถูก เครื่องประดับพลาสติก เสื้อผ้าฯลฯ
ย่านคลองถม พันธุ์ทิพย์ น้อมจิต เป็นแหล่งระบายสินค้าเทคโนโลยีหนาแน่นที่สุด หลายร้านมีคนจีนเป็นเจ้าของ มีแรงงานพม่าเป็นลูกจ้าง กลายเป็นกิจการต่างด้าว 100%
จีนสนับสนุนให้นักลงทุนของตนออกไปลงทุนนอกประเทศ โดยเฉพาะประเทศตลาดเกิดใหม่ (EM) ทั้งเพื่อให้ส่งกลับกำไรและเพื่อขยายเครือข่ายกิจการจีนไปสู่ประเทศเป้าหมายที่จะเป็นตลาดบริวาร
รัฐบาลจีน ทั้งรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นสนับสนุนเงินทุนแก่นักลงทุนขนาดกลางและขนาดย่อมที่คัดสรรด้วยวงเงิน 1-10 ล้านหยวน ขึ้นอยู่กับลักษณะกิจการ
ทุนจีนที่เข้ามาไทยมีความหลากหลาย ทั้งสาขากิจการและทั้งขนาดของกิจการ กิจการขนาดใหญ่นั้น ส่วนใหญ่เจ้าของกิจการจะเป็นนายทุนของตนเอง เพราะเป็นบริษัทใหญ่ระดับข้ามชาติ อย่างอาลีบาบา หัวเหว่ย เป็นต้น
ใช่แต่ลงทุนในธุรกิจ อุตสาหกรรมที่เปิดเผยเท่านั้น ในด้านธุรกิจมืด ทุนจีนก็เข้ามาเช่นกัน เป็นบริษัทแชร์ลูกโซ่รูปแบบต่างๆ เช่นลงทุนในลอตเตอรี่จีน ลงทุนในบิทคอยน์ เกมพนันออนไลน์ ฯลฯ
ล่าสุด มีข่าวว่า มหาวิทยาลัยของไทยแห่งหนึ่ง ได้ขายกิจการให้ทุนจีน ทั้งนี้เหตุจากกิจการสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาของไทยขณะนี้ตกต่ำ ซบเซามาก เนื่องจากจำนวนนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเอกชนลดลงต่อเนื่องมาหลายปี ทั้งๆ ที่เคยอยู่ได้ด้วยเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ก็ตาม
การที่มหาวิทยาลัยขาดทุนนั้น เกิดจากการเปิดสอนในสาขาวิชาที่ตลาดแรงงานมีความต้องการน้อย หรือมาตรฐานต่ำ ตลาดไม่รับ เรียนจบไปแล้วตกงาน มหาวิทยาลัยตกเกรดและขาดทุนเหล่านั้น ต้องปิดตัวเองและถูกสั่งปิดกว่า 20 แห่งแล้ว
บางแห่งหาผู้ร่วมทุนจากต่างประเทศ ซึ่งก็คือที่มาของทุนจีนในกิจการมหาวิทยาลัย
อันที่จริงการปิดหรือเลิกกิจการ กิจการขาดทุนของมหาวิทยาลัยนั้น มิได้เกิดแต่ประเทศไทยเท่านั้น แม้แต่สิงคโปร์ชาติที่เกรดการศึกษาเทียบกับยุโรปและอเมริกาก็ยังปิดไป 1 ราย
มหาวิทยาลัยแห่งชาติของสิงคโปร์(NUS)เปลี่ยนรูปแบบเป็น “มหาวิทยาลัยแห่งชีวิต”โดยนักศึกษามิได้เพียงเรียนจบปริญญาตรี-โท-เอกเท่านั้น แม้ออกไปแล้วก็ยังกลับมาอัพเกรดทักษะ ความรู้ได้ตลอดเวลา ตลอดไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่
ส่วนในสหรัฐนั้น นับแต่ปี 2016 เป็นต้นมามหาวิทยาลัยปิดแล้วกว่า 100 แห่ง และแม้แต่มหาวิทยาลัยของรัฐเอง ก็ปิดไปแล้ว 20 แห่งด้วยเหตุผลเดียวกันกับไทย
การที่คนเข้าเรียนน้อยลง สาเหตุจากคนอเมริกันยุคใหม่เห็นว่าการเรียนในมหาวิทยาลัย 4 ปี เป็นการเสียเวลาสู้เอาเวลาไปทำมาหากินดีกว่า ส่วนวิชานั้น หาง่ายกว่าหาเงิน สมัยนี้เทคโนโลยีใหม่ๆ ป้อนความรู้ให้ดีกว่ามหาวิทยาลัยมากมายนัก
ต่างจากไทย เหตุผลที่มหาวิทยาลัยมีจำนวนนักศึกษาน้อยก็เพราะเด็กเกิดน้อย อัตราเกิดน้อยเพราะเศรษฐกิจไม่ดี ค่าครองชีพสูง พ่อแม่ต้องทำมาหากิน จึงคุมกำเนิดกันมาก
อัตราเกิดน้อยนี้ มิใช่แต่จะเป็นผลต่อกิจการบริการสำหรับเด็กและวัยหนุ่มวัยสาวเท่านั้น หากแต่มีผลต่อประชากรสูงวัยด้วย เพราะคนไทยมีอายุยืนขึ้น จำนวนคนชราเริ่มมากกว่าคนวัยหนุ่มสาว อันจะกลายเป็นปัญหาในอนาคต ที่คนจำนวนน้อยต้องเลี้ยงคนชราที่มีจำนวนมากกว่า
สำหรับมหาวิยาลัยเอกชนที่มีทุนจีนร่วมนั้น ขณะนี้เริ่มมีการสอนภาษาจีนกันแล้ว โดยเลิกจ้างอาจารย์สอนภาษาไทยและภาษาอังกฤษออกไปหมด เอาอาจารย์สอนภาษาจีนมาแทน
อีกแห่ง มีนักศึกษาจีนมากกว่านักศึกษาไทยถึง 2 ใน 3 จนแนวโน้มว่า ผู้บริหารจะนำนักศึกษาจากจีนเข้ามาเอง
นอกจากเรียนจีน สอนจีน นักศึกษาจีนแล้ว บริเวณมหาวิทยาลัยและปริมณฑลก็จะเต็มไปด้วยกิจการร้านค้าเพื่อบริการแก่นักศึกษาและบุคคลกรจีนที่มีคนจีนเป็นเจ้าของด้วย
กลายเป็น “อาณานิคมการศึกษา” ของจีนไปโดยปริยาย
วันนี้คนจีนแห่มาอยู่ในเมืองไทยกันเป็นแสนๆ คน หรืออาจจะเกินล้านก็ได้ ขณะเดียวกัน รัฐบาลไทยก็เป็นหนี้จีนมากขึ้นๆ
หรือว่า อนาคตอันใกล้ ไทยจะกลายเป็นอาณานิคมทางเศรษฐกิจของจีน?