top of page
312345.jpg

วิเคราะห์เศรษฐกิจโลกครึ่งปีหลัง 2561 คาดเศรษฐกิจขยายตัว 3.4%...แนะนักลงทุนกระจายความเสี่ยง


ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย เผยผลการวิเคราะห์เศรษฐกิจโลกครึ่งปีหลัง 2561 ที่คาดว่าจะมีการขยายตัว 3.4% ซึ่งสูงสุดในรอบ 8 ปี โดยมีปัจจัยสนับสนุน อาทิ การเพิ่มขึ้นของมาตรการกระตุ้นทางการเงินของสหรัฐอเมริกา และการเติบโตอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ เป็นต้น อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะเป็นบวกในทุกภูมิ ภาคหลัก โดยคาดว่าอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นทั่วโลกจะอยู่ ที่ 13%

อย่างไรก็ตามนักลงทุนควรคำนึงถึงปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ และกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ หลายประเภทเพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ตโพลิโอ ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ซิตี้ได้ให้มุมมองถึง เศรษฐกิจไทยว่าจะขยายตัว 4.2% โดยมีระดับอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ ยอยู่ที่ 1.4%

ทั้งนี้ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย ได้แถลงข้อมูลทิศทางเศรษฐกิจและการลงทุนครึ่งปีหลัง 2561 พร้อมแนะนำ กองทุนเปิดแมนูไลฟ์ ซีรีย์ก้าวไปด้วยกัน ทางเลือกในการลงทุน เมื่อเร็วๆนี้ ณ โรงแรมสยามเคมปินสกี้ กรุงเทพฯ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมหรือเข้ารับการบริการแนะนำการลงทุน สามารถติดต่อได้ที่ www.citibank.co.th/citigold

นายดอน จรรย์ศุภรินทร์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายบุคคลธนกิจ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย กล่าวว่า ในครึ่งปีหลังภาพรวมของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นทั่วโลกจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นจากหลากหลายปัจจัยที่ สนับสนุน อาทิ อัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นทั่วโลก การปฏิรูปภาษีในสหรัฐอเมริกา การประเมินมูลค่าราคาของตลาดเกิดใหม่ที่ยังคงถูกกว่าตลาดอื่นๆ และผลประกอบการที่แข็งแกร่งของตลาดเกิดใหม่ ในด้านของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) อาจมีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในระยะเวลาที่เหลือของปี 2561 และยังคาดการณ์ว่าอัตราแลกเปลี่ ยนในค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯจะแข็งค่าขึ้นในระยะสั้น แต่จะอ่อนค่าลงต่อไปในระยะปานกลางถึงระยะยาว เนื่องจากการขาดดุลที่เพิ่มขึ้นและความตึงเครียดทางการค้ากับประเทศ

จีนและโซนยุโรป ในทางกลับกันมองว่าค่าเงินยูโรจะแข็งค่าขึ้นในระยะปานกลาง เนื่องจากเศรษฐกิจมีการเติบโตขึ้นและมีการไหลเข้าของเงินลงทุน และมีมุมมองบวกกับค่าเงินบาทไทย และค่าเงินวอนเกาหลี

นอกจากนี้สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่ อาจเกิดขึ้น ได้แก่ มาตรการป้องกันทางการค้าที่เพิ่มมากขึ้น ความเสี่ยงด้านการเมืองในแต่ละภูมิภาค สงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนและความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯกับประเทศคู่ค้า ที่ยังคงมีอยู่ในครึ่งปีหลัง 2561 อย่างไรก็ตามแม้ว่าสถานการณ์ การเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะช้าลงในช่วงต้นปีที่ผ่านมาแต่ “ซิตี้” ยังคงเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจโลกปี 2561จะยังคงมีการขยายตัว 3.4% ซึ่งสูงสุดในรอบ 8 ปี และคาดว่าว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วโลกจะคงที่ ที่ 2.4%

สำหรับการลงทุน นักวิเคราะห์ซิตี้ แนะนำให้กระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์หลากหลายภูมิภาค โดยให้น้ำหนักการลงทุนไปที่ภูมิภาคตลาดเกิดใหม่ ยุโรป และประเทศญี่ปุ่น โดยกลุ่มหุ้นวัฏจักรที่มีมุมมองบวก ได้แก่ กลุ่มพลังงาน กลุ่มการเงิน และกลุ่มเทคโนโลยี นอกจากนี้ยังแนะนำการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก (Alternative investment) และกองทุนรวมผสม (Multi-Asset) เพื่อกระจายความเสี่ยงของพอร์ตโฟลิโอ ด้านตราสารหนี้ ซิตี้ให้น้ำหนักการลงทุนไปในตราสารหนี้เอกชนสหรัฐที่จัดอยู่ในระดับน่าลงทุน (US Investment Grade) และ ตราสารหนี้ไฮยิลด์สหรัฐฯที่ให้ ผลตอบแทนสูง (High-Yield Bond)

ทั้งนี้จากการคาดการณ์เศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 4.2% ในปี 2561 และ ปี 2562 โดยมีปัจจัยหลักที่สนับสนุน ได้แก่ การลงทุนและการบริโภคภายในประเทศที่เพิ่มมากขึ้นจากภาคสาธารณะและภาคเอกชน รวมถึงธุรกิจส่งออกของประเทศไทยที่มีการเติบโตสูงกว่าที่คาดการณ์ ถึงอย่างไรก็ตาม ซิตี้ยังคงมองถึงปัจจัยเสี่ยงที่ อาจมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย อาทิ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจากความกังวลทางการค้าและกฎหมายการใช้จ่ายของภาครัฐที่เข้มงวดขึ้น ด้านระดับอัตราเงินเฟ้อในปี 2561 มองว่าโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 1.4% และจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 1.8% ในปี 2562 ด้านค่าเงินบาทไทยยังคงมีแนวโน้ มที่จะแข็งค่าขึ้นในปี 2561 นี้

ด้าน นายชัยเกษม วัฒนศิริพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานบริ หารช่องทางจัดจำหน่าย บลจ.แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า แมนูไลฟ์ ได้ร่วมกับ ซิตี้แบงก์ เปิดตัว กองทุนแมนูไลฟ์ ซีรีย์ก้าวไปด้วยกัน เพื่อเป็นอีกทางเลือกในการลงทุนที่น่าสนใจและสามารถตอบโจทย์ ความต้องการด้านการลงทุนให้แก่ ผู้ลงทุนในปัจจุบันได้ โดยกลุ่มกองทุนนี้ประกอบด้วย 3 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิด แมนูไลฟ์ก้าวหน้า (MN-STABLE) กองทุนเปิด แมนูไลฟ์ก้าวไกล (MN-BALANCE) และกองทุนเปิด แมนูไลฟ์ก้าวกระโดด (MN-DYNAMIC) ภายใต้การบริหารของบริษัทจัดการกองทุนชั้นนำของโลกที่มี ความชำนาญและหน้าเชื่อถือ ทั้งนี้กองทุนดังกล่าวมีจุดเด่นคือเป็นกองทุนที่มีการปรับสัดส่วนพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับภาวะของตลาด ให้ได้รับผลกระทบจากความผันผวนในตลาดน้อยที่สุด และสามารถกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ได้หลายประเภท เพื่อในลดความเสี่ยงจากการลงทุน ซึ่งมีความเหมาะสมกับการลงทุนในปัจจุบันโดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังจากนี้

684 views
bottom of page