ชยนนท์ รักกาญจนันท์ หรือ มิสเตอร์เมสเซนเจอร์ กูรูด้านการลงทุนและเศรษฐกิจชื่อดังของประเทศไทย และประธานเจ้าหน้าที่พัฒนาธุรกิจของกลุ่ม FINNOMENA แนะอย่ากลัวความเสี่ยง และพร้อมรับมือความผันผวน
มาถึงตรงนี้ หลังจากที่มีการยิงกัน 100 กว่านัดในซีเรีย คุณชยนนท์ มองว่าเป็นอย่างไร ตลาดหุ้นยังปลอดภัยดีอยู่ไหม
ผมเชื่อว่าตลาดหุ้นเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด เมื่อเทียบกับสินทรัพย์ประเภทอื่นในเรื่องระยะยาว แน่นอนว่าระยะสั้นจะวิ่งตามข่าว แต่เชื่อว่าระยะยาวตลาดหุ้นจะวิ่งตามกำไร
ตอนนี้หุ้นจะผันผวนหน่อย พอเข้าสู่เดือนเมษายนเป็นฤดูของการประกาศผลประกอบการไตรมาส 1 ของทุกบริษัท ถ้าหากบริษัทไหนประกาศออกมากำไรดี เหมือนที่นักวิเคราะห์คาดหรือกำไรดีกว่าที่บริษัทตั้งเป้าไว้ ตลาดหุ้นน่าจะดีต่อ
แต่อย่างไรก็ตาม หุ้นก็จะมีปัจจัยกวน อย่างที่ทราบตั้ง โดนัลด์ ทรัมป์ มาเป็นประธานาธิบดี ที่ขยันทวิตเตอร์ได้ตลอดเวลาก็จะยังเป็นความเสี่ยงถ้า โดนัลด์ ทรัมป์ ยังอยู่ก็ต้องยอมรับความเสี่ยง และแม้จะมีความผันผวนในขณะนี้ไม่ได้หมายความว่าต้องเลิกลงทุนกันไปเลย
เพราะฉะนั้นนักลงทุนก็ต้องมีวิธีการรับมือกับความเสี่ยง
ทำไมถึงมองว่าตลาดหุ้นจะดีต่อไป
มองว่าระยะยาว ถ้ามองเข้าไปที่ตัวเลขเศรษฐกิจ ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทยมีการปรับประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจขึ้นมาเป็น 4.1% สภาอุตสาหกรรมไทยได้มีการปรับตัวเลข GDP ขึ้นมาประมาณ 4.5% สูงกว่าที่สภาพัฒน์ให้ ในช่วง 2 อาทิตย์ที่แล้ว องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ หรือ OECD มีการปรับประมาณการ GDP Growth ของโลกขึ้นมา และเชื่อว่าปลายเดือนเมษายน World Bank กับ IMF น่าจะมีการปรับประมาณการขึ้นมาอีก
รายงาน Statement ของเฟดที่ออกมาเมื่อช่วงที่ผ่านมา ตัวเลขเศรษฐกิจ GDP -องสหรัฐถูกปรับประมาณการขึ้นมา ซึ่งตามที่ทราบกันคือ เศรษฐกิจจะแย่ในทางเทคนิคจะต้องเห็น GDP ติดลบอย่างน้อย 2 ไตรมาสติดต่อกัน แต่มาดูภายในปีนี้ไม่น่าจะเกิดเหตุการณ์ติดลบ 2 ไตรมาสต่อกัน
เพราะฉะนั้นในมุมนี้เศรษฐกิจค่อนข้างแข็งแกร่งและไม่มีปัญหาอะไร แต่ที่มันผันผวน คือ Valuation แพงเกินไป ประกอบกับมีปัจจัยใหม่เรื่องกำลังเปลี่ยนนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจจากนโยบายการเงิน คือ การใช้ QE มาตลอดแล้วกำลังจะยุติ และเร่ง Growth ให้มากขึ้น โดยการหันมาใช้นโยบายการคลัง คือ การลดภาษี แต่เมื่อสหรัฐลดภาษีจาก 31% เหลือ 25% แปลว่าหลักทรัพย์/รายได้หาย เพราะฉะนั้นทีมเศรษฐกิจของสหรัฐคงคิดแล้วว่าจะไปหารายได้มาจากไหน ก็ดูว่าสหรัฐมีเรื่องขาดดุลทางการค้าอยู่ ซึ่งใครขาดดุลการค้าหนักที่สุดก็จะเป็นเป้า
อีกมุมหนึ่งของสหรัฐการเลือกตั้งประธานาธิบดีไม่ได้เลือกตั้งส.ส.พร้อมกันเหมือนแบบของไทย คือ เลือกส.ส.แล้วไปโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี แต่ตอนเลือกตั้งประธานาธิบดี คือ คนทั้งประเทศเลือกเลยว่าจะเอาพรรครีพับลิกันหรือพรรคเดโมแครต แต่ปลายปีนี้ช่วงเดือนพฤศจิกายนจะมีการเลือกตั้งส.ส. ซึ่งเป็นไปได้ว่าพรรครีพับลิกันอาจจะได้ฐานเสียงที่น้อยลง ...ตรงนี้เป็นประเด็นที่ตลาดหรือนักลงทุนให้ความสำคัญเพราะ โดนัลด์ ทรัมป์ ต้องทำทุกอย่างที่เคยสัญญาไว้เมื่อตอนหาเสียงเพื่อให้คะแนนของตัวเองกลับมา พอจะไป Trade War กับจีน ทำให้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงยอมให้สหรัฐขึ้นภาษี คือ สหรัฐออกมาตรการกำแพงภาษีมา 50,000 ล้านดอลลาร์ฯ จีนออกมา 50,000 ล้านดอลลาร์ฯตาม พอสหรัฐปรับขึ้นมาเป็น 100,000 ดอลลาร์ฯ ทำให้จีนมองว่าสู้ไปก็มีแต่เสีย เพราะมูลค่า 50,000 ล้านดอลล่าร์ฯ เทียบกับดุลการค้าของสหรัฐยังมีปริมาณอีกมหาศาล เพราะฉะนั้นจีนยอมเสียไปนิดหน่อยจะดีกว่า กลายเป็นว่าโดนัลด์ ทรัมป์จะทำอะไรต่อก็ไม่ได้
เมื่อจะทำ Trade War ต่อไม่ได้ ก็หันมาทำ Real War แทน คือ บังเอิญรัฐบาลซีเรียยิงขีปนาวุธเคมี ทำให้สหรัฐฝรั่งเศส อังกฤษ มีข้ออ้างที่จะโจมตี โดยตรวจสอบจากแหล่งข่าวว่ามีการใช้อาวุธเคมีจริง และเกิดการโจมตีรัสเซียดังกล่าว
หากมองในมุมนี้ คือ โดนัลด์ ทรัมป์ พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาฐานเสียงของตัวเองกับสิ่งที่สัญญากับประชาชน ... มองว่าสุดท้ายแล้ว โดนัลด์ ทรัมป์ คือ นักธุรกิจ หมายความว่า เมื่อไหร่ที่ โดนัลด์ ทรัมป์ เชื่อในสิ่งที่ทำเบนเข็มให้ประชาชนเกิดกระแสตีกลับคิดว่า โดนัลด์ ทรัมป์ จะยกเลิก อย่างเรื่อง Trade War ได้บอกกับทุกคนว่าสุดท้ายแล้วจะไม่เกิด เพราะเป็นแค่ความกลัว แต่ Trade War จริงๆ ไม่น่าเกิดและไม่มีใครเอาด้วย เชื่อว่าหลังจากเรื่องซีเรีย โดนัลด์ ทรัมป์ น่าจะเบนเป้าไปหาประเทศอื่นที่ขาดดุลการค้าลดลงต่อจากจีน เช่น ยุโรป หรือ ญี่ปุ่น
อย่างตอนที่ขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมินัม แล้วไปให้สิทธิ์กับเม็กซิโกและสหภาพยุโรปแต่กลับไม่ให้ญี่ปุ่น การจัดตั้งกำแพงภาษีกลุ่มเทคโนโลยีกว่า 1,000 รายการที่จีน ผู้ผลิตอุปกรณ์เครื่องจักรโรงงานที่ส่งให้จีนเกิน 25% คือ ญี่ปุ่น คิดว่าภายในตรมาส 2-3 ญี่ปุ่นจะเป็นเป้าต่อไป ต้องระวังเพราะตอนนี้นายชินโซ อาเบะมีเรื่องคะแนนความนิยมของตัวเองตกลงมา กลายเป็นว่าปีนี้ความเสี่ยงทางด้านการเมืองมีสูงขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจดูแล้วไม่มีปัญหา หากเป็นนักลงทุนถ้ามีความผันผวนมากก็ถือพอร์ตแบบสมดุล คือ มีหุ้นเบาลงมา มีตราสารหนี้ แต่ถ้าถึงขั้นออกมาจากตลาดคิดว่าปัจจัยเหล่านี้เป็นปัจจัยชั่วคราว ไม่จำเป็นต้องออกมาถือเงินสด คิดว่าสงครามจริงน่ากลัวกว่า
ถ้าหุ้นตกจากความกังวลสงคราม Real War รัสเซียเอาคืน นักลงทุนควรจะเข้าไปช้อนไหม
ถ้าเป็นหุ้นไทย SET Index หากดูตามเทคนิคมีโอกาสหลุด 1,700 จุดลงมา ประมาทไม่ได้ มุมหนึ่งไทยมีปัจจัยเฉพาะตัว คือ กลุ่มธนาคารมีสงครามเรื่องลดค่าธรรมเนียม ทำให้กำไรจากกลุ่มธนาคารลดลงอย่างแน่นอน และกลุ่มธนาคารเป็นกลุ่มที่มี Market Cap ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในไทย ส่วนกลุ่ม Market Cap ที่ใหญ่ที่สุดกำลังจะมีกำไรลดลง เชื่อว่าจะดึงดูดเงินจากนักลงทุนต่างชาติได้ค่อนข้างยากและยังดันดัชนีได้ยากเช่นกัน
ในไตรมาส 2 น่าจะเป็นไตรมาสที่สะสมการซื้อมากกว่าเพราะหุ้นยังปรับขึ้นไม่ได้ ส่วนใครจะซื้อแบบระยะสั้นหวังผลกำไรในช่วงนี้ต้องระมัดระวัง น่าจะมีการปรับฐานลงมาอีก
อีกอย่างที่เห็นสัญญาณ คือว่า การขึ้นของสินทรัพย์ปลอดภัย 3 อย่างพร้อมกัน คือ ค่าเงินดอลลาร์แข็ง พันธบัตรรัฐบาลของสหรัฐราคาเริ่มนิ่งหรือปรับขึ้นได้ และราคาทองเริ่มกลับขึ้นมาอยู่ที่ 1,340 ดอลลาร์ฯต่อออนซ์
วันที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ทวิตเตอร์ หาเรื่องกับบางประเทศทำให้ราคาทองปรับขึ้นถึง 1,370 ดอลลาร์ต่อออนซ์ คือเริ่มมีนักลงทุนอยากจะถือสินทรัพย์ที่ปกป้องความเสี่ยงมากขึ้นในเวลานี้ ....แสดงว่าความผันผวนยังไม่จากไป