
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยืนยันด้วยบทบาทการกำกับดูแลขณะนี้ ไม่มีหน้าที่ห้ามหรือสนับสนุน ให้บริษัทจดทะเบียนระดมทุนรูปแบบใหม่ด้วยการออก ICO ได้ หลัง JFIN นำร่องไปเรียบร้อยแล้ว ยอมรับกระแส ICO เป็นสิ่งที่ต้องมาแน่ๆ และจะปฏิเสธนวัตกรรมใหม่ๆ ไม่ได้ แย้มอนาคตอาจมีกระดานเทรดเงินดิจิทัลโดยเฉพาะขึ้นมาเพื่อทางการสามารถกำกับดูแลโดยตรง และสร้างความน่าเชื่อถือให้เกิดขึ้น ย้ำเป็นหน้าที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่จะต้องนำความน่าเชื่อถือมาสู่ระบบตลาดทุน
นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวถึงกรณีการลงทุนใน ICO ที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ออกขายกับนักลงทุนประชาชนทั่วไป ซึ่งเป็นการออก ICO ที่อิงกับสกุลเงิน คริปโตเคอเรนซี หลังจากที่ บริษัท เจมาร์ท ให้บริษัทลูกทำหน้าที่ระดมทุนด้วยการออกเหรียญ JFIN และขาย ICO และมีแนวโน้มจะมีบริษัทจดทะเบียน ที่ออก ICO ตามมาอีกว่า เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ เพราะ ICO นับเป็นตัวนวัตกรรมใหม่เป็นเรื่องของเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงไปทำให้เป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยง
ทั้งนี้ในส่วนของตลาดหลักทรัพย์ฯ เอง ไม่สามารถห้ามการออก ICO ได้ เช่นเดียวกับที่ผู้กำกับดูแล ไม่ว่าจะเป็นแบงก์ชาติหรือ ก.ล.ต.ทั่วโลกต่างตระหนักถึงเรื่องนี้ แต่ก็จะมีการดูแลในแบบที่แตกต่างกันไป คือมีบางประเทศมีข้อจำกัดเรื่องการทำธุรกรรมของ ICO, บางประเทศมีข้อส่งเสริม หรือบางประเทศอยู่แบบเฉยๆ ไม่ห้ามไม่รับรอง
“ในส่วนของประเทศไทย มีการพูดคุยกันเรื่อง ICO อยู่หลายรอบ ในขณะนี้ ก.ล.ต.ก็กำลังดูในเรื่องการกำกับดูแลอยู่ คงต้องดูในรายละเอียดอีกที เนื่องจากที่ผ่านมากำกับในเรื่องหุ้นหรือตราสารหนี้ แต่เมื่อเป็นเรื่องของ ICO ที่มีลักษณะที่ไม่ได้เป็นทั้งหุ้นและตราสารหนี้ เพราะว่าคนลงทุนที่ซื้อไปไม่ได้อะไร เช่น ซื้อบิทคอยน์แล้วไม่ได้มีส่วนของความเป็นเจ้าของหรือได้ดอกเบี้ย ไม่มีการสมมุติเพราะมีการจ่ายเงินจริง ทีนี้เมื่อซื้อของมาก็ต้องมีความคาดหวังว่าในอนาคตจะขายได้ในราคาแพงหรือได้กำไรจากการซื้อ นับว่าเป็นเรื่องของการคาดหวังของคนลงทุนซื้อ”
ICO มีหลายประเภท คือที่ความเป็นหลักทรัพย์ ประเภท Utility เป็นการระดมทุน ทำให้คาดหวังว่าในอนาคต อาจมีสิทธิ์ได้ดอกเบี้ยหรือปันผลที่มีลักษณะคล้ายหุ้น ลักษณะแบบนี้ทาง ก.ล.ต.ถือว่าต้องอยู่ในการกำกับดูแล ที่มีความกังวลคือว่า ICO ที่ไม่มีลักษณะเกี่ยวกับเรื่องหลักทรัพย์หรือตราสารหนี้ เพราะฉะนั้นตัวกฎหมายจะไม่ครอบคลุม ซึ่ง ก.ล.ต.กำลังดูอยู่ว่าจะทำอย่างไร
จะเห็นว่าก่อนหน้านี้ แบงก์ชาติ ได้มีหนังสือเวียนถึงแบงก์ต่างๆ ห้ามทำธุรกรรมใดเกี่ยวกับเงินดิจิทัลทั้งหมด แต่สำหรับในส่วนบทบาทตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่สามารถทำหน้าที่ในการอนุมัติหรือไม่อนุมัติให้บริษัทจดทะเบียนออกซื้อขาย ICO ได้หรือไม่
“ตลาดหลักทรัพย์ฯไม่มีบทบาทหน้าที่ในส่วนนี้ เพียงแต่เข้าไปควบคุมในฐานะที่ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ดูแลกำกับบริษัทที่จดทะเบียนต้องมีความรับผิดชอบ เมื่อจะไปทำอะไรกับคนลงทุน
ตลาดหลักทรัพย์ทำได้คือ ดูแลให้บริษัทจดทะเบียน เปิดเผยข้อมูลที่ชัดเจน รายงานในส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น ต้องถามว่าทำหนังสือชี้ชวนหรือ White Paper ที่ออก ICO มีความชัดเจนหรือไม่ แน่ใจหรือไม่ว่าคนที่เข้าไปซื้อจะรู้ทั้งหมด แล้วจะประเมินได้หรือไม่ว่าเมื่อคนซื้อไปแล้วได้ซื้ออะไรไป
ก็นับว่าเป็นสิ่งที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ กังวลอยู่ เพราะว่าหากสมมุติในอนาคตมีคนบอกว่าข้อมูลหากไม่มีความชัดเจน ก็อาจจะเป็นความเสียหายมาสู่ตัวบริษัทจดทะเบียน ซึ่งกระทบผู้ถือหุ้น ตลาดหลักทรัพย์ฯจึงต้องใช้ข้อนี้ เพื่อสอบถาม เพื่อผู้ลงทุนจะได้รับทราบผลประโยชน์ และความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ตลาดหลักทรัพย์ฯ เช็คทั้งแบงก์ชาติ และก.ล.ต.ในเรื่อง Regulation ต่างๆ เพราะเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับประชาชนทั่วไป ก็เกรงว่าในอนาคตจะเกิดเหตุการณ์ที่จะทำให้ประชาชนเดือดร้อนขึ้นมา ในที่สุดแล้วกระทรวงการคลังก็ต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย”
นอกจากนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้สอบถามไปที่ สภาวิชาชีพบัญชี ในแง่ของการที่ บริษัทจดทะเบียน เข้าไปลงทุนใน เงินดิจิทัลทั้งในและต่างประเทศ ว่าจะมีการบันทึกลงบัญชีให้ได้อย่างไร “เข้าใจว่าทางสภาวิชาชีพบัญชีก็กำลังศึกษาดูเรื่องนี้อยู่ ส่วนในแง่ของตลาดหลักทรัพย์ฯจะดูสถานะของบริษัทจดทะเบียนว่าเมื่อทำไปแล้วจะสะท้อนภาพทิศทางใด เพราะบางคนอาจจะคิดว่าเมื่อบริษัทออกแบบนี้แล้วราคาหุ้นจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯต้องดี ซึ่งอาจไม่ใช่ก็ได้
ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็อยากให้เห็นภาพสะท้อนเข้าไปที่บริษัทจดทะเบียนด้วย”
กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ เกศรา มัญชุศรี กล่าวย้ำว่า มาถึงวันนี้ ผู้กำกับดูแลอย่างกระทรวงการคลัง แบงก์ชาติ ก.ล.ต. และ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องร่วมมือกัน และดูว่าจะทำอย่างไรเพื่อที่จะให้คนที่จะนำเงินไปลงทุนจะได้รับผลตอบแทนตามความสมควร และไม่มีผลกระทบ
สำหรับกรณีที่ห่วงกันว่า ในอนาคต รูปแบบการระดมทุนของธุรกิจจะเปลี่ยนไป และผู้ประกอบการอาจไม่มาลงทุนผ่านตลาดหุ้น ไม่มาทำ IPO ไม่จดทะเบียน ไม่อยากเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้วเพราะมีค่าใช้จ่ายสูง แล้วหันไปออก ICO กันมากขึ้น ในเรื่องนี้ นางเกศราแจงว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯเองก็พิจารณาในเรื่องนี้เช่นกัน และยอมรับว่าจากนี้บริษัทอาจมองว่าถ้าเข้าบริษัทจดทะเบียนแล้วมีต้นทุนที่แพงหรือวิธีการเข้าตลาดยาก เขาก็จะหนีไปที่อื่นอย่างไปออก ICO แทน ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯก็มีหน้าที่ต้องมองตัวองและปรับปรุงระเบียบต่างๆให้เกิดความเหมาะสมที่สุด
“เราก็ต้องกลับมาดูตัวเอง ว่ากฎตรงไหนของเราที่เข้มแล้วดี หรือตรงไหนเข้มเกินไป ถ้าเราจะสู้กับระบบข้างนอกก็ต้องสู้ให้ได้
ระบบ ICO ต่างๆ ในอนาคตมีแน่ เพียงแต่สิ่งเหล่านี้จะต้องเป็นเรื่องของความน่าเชื่อถือ ต้องกลับมาดูว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะทำหน้าที่นำความน่าเชื่อถือนี้มาสู่ระบบทุนได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งเรื่องนี้เราต้องร่วมมือกับหลายหน่วยงาน ไม่ได้ทำอะไรคนเดียวได้”
นอกจากนี้ดังที่กล่าวแล้วว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น คือ คนให้ความสนใจลงทุนในเงินดิจิทัล และ ICO มากขึ้น เพราะปฏิเสธนวัตกรรมใหม่ๆไม่ได้ ซึ่งปัจจุบันคนที่ซื้อขายเงินดิจิทัล และ ICO มีการเปิดกระดานซื้อขายที่กำลังมาแรงเรียกว่า TDAX ถ้าเปรียบก็เหมือนเปิดกระดานให้ซื้อขาย เหมือนกระดานตลาดหลักทรัพย์ฯหุ้น ดังนั้นจึงเป็นที่มาให้เกิดคำถามว่า เมื่อห้ามไม่ได้ ในทางกลับกัน ก็ส่งเสริมเสียเลย โดยเปิดกระดาน ของทางการขึ้น เช่นเดียวกับเมื่อ 45 ปีก่อนที่จะมีตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็มีการซื้อขายกันในตลาดที่เรียกว่า บางกอกสต็อคเอ็กซ์เชนจ์ก่อน จากนั้นทางการก็นำมาดูแลพัฒนาการจนมาเป็นตลาดหลักทรัพย์ฯอย่างทุกวันนี้ โดยการดึง TDAX เข้ามาในตลาดเสียเลย
เรื่องนี้ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า จะไม่ไปรวบกับกระดานที่เทรดกันอยู่แล้วมารวมด้วยแบบนั้น แต่ด้วยแนวโน้มหรือเทรนด์ก็เป็นไปได้ที่จะเปิดกระดานขึ้นมา ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ เองก็กำลังศึกษาอยู่ ด้วยเทคโนโลยีเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น แต่ขึ้นกับนโยบายเร็คคูเรเตอร์ด้วย ในการเปิดรับนวัตกรรมใหม่ๆ แต่ก็ต้องมีความระมัดระวัง