เอ็กซิมแบงก์เล็งปล่อยสินเชื่อใหม่ปี้นี้ 4.7 หมื่นล้าน ด้านยอดสินเชื่อคงค้างโต 9% เป็น 1 แสนล้านบาท เร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์เอื้อกลุ่มเอสเอ็มอีรับทิศทางเศรษฐกิจการค้าโลกมุ่งสู่ตลาดใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV ที่การค้า-ลงทุนกับไทยโตกระฉูด เผยผลงานปี 60 กำไร 1.3 พันล้าน สินเชื่อโต 11% หนี้เสียทรงตัวที่ 3.57% เป้าปีนี้หนี้เสียเท่าเดิม ล่าสุดออกโปรดักต์ใหม่รับเอสเอ็มอีบัญชีเดียว กู้เงินทุนหมุนเวียนสูงสุด 5 แสน ดอกเบี้ย 4.5% ไม่ต้องมีหลักประกัน
นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ในปี 2561 ธนาคารยังคงมีบทบาทในเชิงรุกขยายสินเชื่อเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยเพิ่มขึ้น โดยมีเป้าหมายสินเชื่อคงค้างโต 9% เป็น 100,000 ล้านบาท จากสิ้นปี 2560 อยู่ที่ 91,886 ล้านบาท โดยในระหว่างปีจะมีการปล่อยสินเชื่อใหม่ ทั้งสินเชื่อเพื่อการส่งออก (Trade Finance) และสินเชื่อเพื่อการลงทุนต่างประเทศ รวม 47,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ธนาคารจะเร่งขยายบริการประกันส่งออกและการลงทุนเพื่อให้ผู้ส่งออกใช้เป็นเครื่องมือบุกตลาดอย่างมั่นใจ ผ่านช่องทางออนไลน์และช่องทางใหม่ๆ โดยความร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องที่จะกระตุ้นให้เกิดปริมาณธุรกิจระหว่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ซึ่งในปี 2560 ธนาคารมีปริมาณธุรกิจด้านการรับประกันการส่งออกและประกันความเสี่ยงการลงทุนอยู่ที่ 65,903 ล้านบาท โดย 12,883 ล้านบาทเป็นธุรกิจส่งออกของ SMEs หรือ 19.55% ของปริมาณธุรกิจสะสมรวม ขณะที่ในปี 2561 ตั้งเป้าหมายยอดรับประกันการส่งออกและประกันความเสี่ยงการลงทุนรวมไว้ที่ 85,000 ล้านบาท ตามแผนยุทธศาสตร์ 3 ปี (2559-2561) ด้านการรับประกัน
นายพิศิษฐ์ กล่าวต่อไปว่า จากปี 2560 ที่ EXIM BANK ได้ดำเนินงานตามแผนแม่บท 10 ปี (2560-2570) โดยสอดคล้องกับนโยบาย Thailand 4.0 แผนยุทธศาสตร์ 20 ปีของประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 (ปี 2560-2564) และแผนยุทธศาสตร์รัฐวิสาหกิจสาขาสถาบันการเงิน ผลการดำเนินงานของธนาคารในปี 2560 มีกำไรสุทธิ 1,360 ล้านบาท โดย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2560 มีเงินให้สินเชื่อคงค้างจำนวน 91,886 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ณ สิ้นปี 2559 จำนวน 8,717 ล้านบาท เติบโต 11% โตกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 8% โดยเป็นสินเชื่อใหม่ที่เบิกจ่ายเพิ่มขึ้นในระหว่างปีจำนวน 27,331 ล้านบาท และมีการชำระคืนของสินเชื่อเดิมบางส่วน ทำให้เกิดปริมาณธุรกิจ (Business Turnover) 159,948 ล้านบาท
ส่วนทางด้าน อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL Ratio) ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2560 อยู่ที่ 3.57% เท่ากับปีก่อน โดยมีสินเชื่อด้อยคุณภาพ จำนวน 3,285 ล้านบาท และมีเงินสำรองหนี้สงสัยจะสูญจำนวน 7,949 ล้านบาท เป็นสำรองหนี้พึงกันตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จำนวน 3,493 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนเงินสำรองที่กันไว้แล้วต่อสำรองหนี้พึงกัน 227.53% ทำให้ธนาคารยังคงดำรงฐานะการเงินที่มั่นคง ขณะที่ในปี 2561 ธนาคารยังคงตั้งเป้าสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ในระดับ 3.57% เช่นเดิม แม้ว่าจะมีเป้าหมายปล่อยสินเชื่อเติบโตสูงขึ้น
ทั้งนี้ ธนาคารได้ดำเนินการช่วยเหลือผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SME ที่มีศักยภาพให้แข่งขันได้มากขึ้นทั้งทางการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ โดยมีปริมาณธุรกิจของ SME เท่ากับ 99,612 ล้านบาท และมีเงินให้สินเชื่อคงค้างแก่ SME เท่ากับ 37,141 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,110 ล้านบาท หรือ 6.02% เมื่อเทียบกับปีก่อน
สำหรับการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการขยายฐานการค้าและการลงทุนไปยังต่างประเทศ ณ สิ้นปี 2560 ธนาคารมีวงเงินที่ให้การสนับสนุนแก่สินเชื่อโครงการระหว่างประเทศรวมทั้งสิ้น 67,160 ล้านบาท และมีเงินให้สินเชื่อคงค้างจำนวน 36,216 ล้านบาท ซึ่งธนาคารได้มุ่งเน้นการขยายฐานการค้าและการลงทุนในตลาดใหม่อย่าง CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) โดยในเดือนมิถุนายน 2560 ได้เปิดสำนักงานผู้แทนในย่างกุ้ง เมียนมา และอยู่ระหว่างการยื่นขอใบอนุญาตเปิดสำนักงานตัวแทนใน สปป.ลาว ซึ่งคาดว่าจะได้รับอนุมัติภายใน 2 เดือนข้างหน้านี้ และมีแผนจะเปิดที่กัมพูชาเป็นประเทศต่อไป
กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การค้าโลกมุ่งสู่ตลาดใหม่ที่เรียกว่า New Frontiers โดยเศรษฐกิจตลาดใหม่ในปี 2560 มีสัดส่วนกว่า 50% เทียบกับประมาณ 20% ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ธนาคารจึงมีเป้าหมายขยายสินเชื่อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดใหม่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะ CLMV ซึ่งเป็นตลาดใหม่ที่สำคัญของไทย ด้วยมูลค่าส่งออกที่ขยายตัวเฉลี่ย 13% ต่อปี จาก 260,000 ล้านบาทในปี 2550 เป็น 850,000 ล้านบาทในปี 2560
ขณะเดียวกัน ทิศทางเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันใช้การลงทุนนำการค้า ทำให้เกิดการขยายการลงทุนในต่างประเทศเพื่อสร้างฐานการผลิตและตลาดการค้าแห่งใหม่ ผู้ประกอบการไทยจึงต้องปรับตัวให้ทัน ธนาคารจึงพร้อมให้สินเชื่อขยายการลงทุนของผู้ประกอบการไทยใน CLMV ต่อยอดเม็ดเงินลงทุนของผู้ประกอบการไทยในตลาดดังกล่าว ซึ่งขยายตัวเฉลี่ย 30% ต่อปี จากยอดคงค้างเงินลงทุนของไทยใน CLMV ที่ 33,000 ล้านบาทในปี 2550 เป็น 470,000 ล้านบาทในไตรมาส 3 ของปี 2560
นอกจากนี้ เมื่อการเติบโตของภาคธุรกิจอย่างยั่งยืนต้องนำด้วยนวัตกรรม EXIM BANK จึงเร่งขยายเครือข่ายพันธมิตร ทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดโครงการและช่องทางใหม่ๆ ที่จะสนับสนุนด้านข้อมูลความรู้และบริการทางการเงินให้ SME ที่มีศักยภาพสามารถพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีการผลิตสินค้าและบริการ เพื่อต่อยอดการพัฒนาอุตสาหกรรมของไทยและแข่งขันในเวทีการค้าระหว่างประเทศได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว รวมทั้งปิดช่องว่างในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการ SME ที่พร้อมเริ่มต้นส่งออกให้สามารถเข้าสู่ ตลาดการค้าโลกได้ เพื่อสร้างฐานรากเศรษฐกิจไทยให้แข็งแกร่ง ซึ่งธนาคารมีโครงการนำร่องด้านนวัตกรรม อาทิ การให้บริการประกันการส่งออกออนไลน์ การทบทวนวงเงินสินเชื่อออนไลน์ และการพัฒนาธุรกรรมออนไลน์
สำหรับในปี 2561 ธนาคารได้พัฒนาบริการใหม่ “สินเชื่อส่งออกสุขใจ (EXIM Happy Credit)” เป็นบริการสินเชื่อหมุนเวียน พร้อมวงเงินสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (Forward Contract) วงเงินสูงสุด 500,000 บาท อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 4.50% ต่อปีในปีแรกสำหรับนิติบุคคลบัญชีเดียวตามนโยบายรัฐบาล อนุมัติภายใน 7 วันทำการ ไม่ต้องมีหลักประกัน ใช้เพียงบุคคลค้ำประกันเท่านั้น เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการ SME ที่ไม่มีหลักประกันสามารถเริ่มต้นส่งออกได้ โดยมีเป้าหมายอนุมัติวงเงินให้แก่ผู้ส่งออก SME รายใหม่จำนวน 750 รายภายในปี 2561