ปตท. (PTT)
การที่ราคาหุ้น PTT มีการแกว่งตัวผันผวนมากขึ้นในปัจจุบัน คงจะทำให้คิดกังวลกันมากว่าจะไปต่อได้หรือไม่ เพราะหากดูจากราคาหุ้นเมื่อต้นปีที่ยังอยู่ต่ำกว่า 450 บาท มาแค่เดือนเดียว ราคากลับมาอยู่สูงกว่า 490 บาทแล้ว ก็คงจะเกิดความหวาดระแวงและเกิดความคลางแคลงใจว่า ราคาหุ้นที่วิ่งมาแรงอย่างนี้จะไปต่อได้อย่างไร เพราะคิดในมุมของนักเก็งกำไรแล้ว การที่ราคาหุ้นขึ้นมามากกว่า 8.9% ภายในเวลาแค่เดือนเดียวนับว่าไม่ธรรมดา เป็นผลตอบแทนที่สูงกว่าดอกเบี้ยในตลาดการเงินมากมาย มองเป็นความคุ้มค่าในการลงทุนที่ดีมากจริงๆ แต่นักเก็งกำไรกลับมองตรงกันข้าม มองว่าราคามาไกลเกินไป แต่เมื่อกลับไปวิเคราะห์จากหลักทางพื้นฐาน แค่ดูที่ผลประกอบการเพียงอย่างเดียวก็พบว่า PTT มีการเติบโตของผลกไรในปี 2560 ที่สูงมาก แค่ 9 เดือนก็ทำกำไรได้แล้วถึง 99,816.39 ล้านบาท เฉลี่ยเท่ากับมีกำไรไตรมาสละกว่า 3 หมื่นล้านบาท แค่นี้ก็สามารถประเมินผลกำไรในปี 2560 ได้แล้วว่าจะมีกำไรมากกว่า 120,000 ล้านบาท ได้ค่อนข้างแน่นอน ความจริงควรจะมีกำไรมากกว่า 130,000 ล้านบาทด้วย แต่คิดในระดับต่ำๆ จึงประเมินไว้แค่ 120,000 ล้านบาท ก็ยังได้กำไรต่อหุ้นที่ 42 บาท ดังนั้น เมื่อมาประเมินราคาหุ้นด้วยค่าพีอีที่ 13 เท่า จะได้ราคาที่ 546 บาท แต่ราคาในตลาดยังซื้อขายแค่ 490 บาท จึงมี upside ได้อีก 11.43% โดยยังไม่คิดรวมเงินปันผลที่จะได้อีกประมาณ 4.29% รวมอยู่ด้วย แค่นี้ก็มองออกชัดเจนว่าราคาหุ้น PTT ในตลาดยังอยู่ระดับต่ำเกินจริงอยู่มาก จึงยังน่าลุ้นและยังเลือกลงทุนได้คุ้มค่า
ปูนซิเมนต์ไทย (SCC)
หากติดตามข่าวมาตลอด คงจะรับรู้แล้วว่าปีก่อน 2560 เศรษฐกิจโลกก็ฟื้นตัวดี เศรษฐกิจไทยก็โตสูงขึ้น 4% ธุรกิจก็มีกำไรมากขึ้น นั่นเป็นผลดีจากปัจจัยภายนอก แต่ธุรกิจวัสดุก่อสร้างกลับยังได้รับผลดีจากภายในประเทศเพิ่มอีกด้วย โดยเฉพาะในปี 2561 นี้ น่าจะเห็นผลเป็นรูปธรรมมากขึ้น เพราะในปี 2560 ผลจากเกิดความล่าช้าในการลงทุนของภาครัฐ ที่เป็นโครงการขนาดใหญ่มูลค่าหลายแสนล้านบาท ทำให้การก่อสร้างไม่เพิ่มมากอย่างที่ควรจะเป็น มีผลให้ธุรกิจนี้พลอยสะดุดโตได้ไม่มากอย่างที่ควรจะเป็น แต่มาปี 2561 นี้ หลังจากรัฐเร่งลงทุนดำเนินโครงการต่างๆ ตามแผนงาน เกิดงานการก่อสร้างตามมาอย่างมาก สิ่งที่จะเกิดตามมาคือจะมีปริมาณการใช้วัสดุก่อสร้างมหาศาล เพราะยิ่งโครงการใหญ่ก็ต้องใช้วัสดุก่อสร้างมากขึ้น จึงมองว่า SCC ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ในธุรกิจนี้จะได้รับผลประโยชน์สูงแน่นอน นั่นหมายถึง SCC จะต้องมีกำไรที่ดีและมากกว่าปี 2560 ไปด้วย ดังนั้น เมื่อกลับมาดูผลประกอบการของ SCC ในปี 2560 9 เดือนแรกทำกำไรได้ 42,474.28 ล้านบาท คาดว่าตลอดปีคงจะทำกำไรได้ถึง 62,000 ล้านบาทได้ กำไรต่อหุ้นจะได้ที่ 51.67 บาท ยังไม่ต้องมองไกลมาถึงปี 2561 นี้ว่าจะมีกำไรเพิ่มเป็นเท่าใด แค่นำเอาข้อมูลปีก่อนมาประเมินราคาหุ้นเพียงใช้พีอี 12 เท่าคำนวณ ยังได้ราคาที่ 620 บาท แต่กลับพบว่าราคาหุ้นในตลาดยังซื้อขายกันที่ 488 บาทเท่านั้น จึงมี upside ได้มากถึง 27% และยังจะได้เงินปันผลประมาณ 3.9% ด้วย ดูแค่เงินปันผลก็คุ้มค่าการลงทุนแล้ว
เสนาดีเวลลอปเม้นท์ (SENA)
นับเป็นหุ้นที่ต้องมาพิจารณากันในปัจจุบันมากขึ้น แม้ว่าในอดีตอาจไม่น่าสนใจก็ตาม เพราะมาว่าปี 2561 นี้ SENA มีการรุกทำโครงการอย่างยิ่งใหญ่มาก แผนการทำธุรกิจในปี 2561 ของ SENA จะผุดโครงการใหม่ทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียมรวม 18 โครงการ คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 2.3 หมื่นล้านบาท เพิ่มมากว่าเท่าตัวจากปีก่อน เป็นการทำโครงการที่มากที่สุดในรอบ 30 ปี และมีโปรเจกต์ร่วมทุนฮันคิว 1 หมื่นล้านบาทด้วย เป็นนโยบายที่ต้องการสร้างรายได้และยอดขายให้มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ที่ดูเด่นคือการชูนวัตกรรม “จุดชาร์จไฟฟ้ารถอีวี” เจาะกลุ่มบ้านในระดับราคา 5-10 ล้านบาทด้วย ก็เรียกว่าเข้าทันกับยุคสมัยใหม่มาก แต่ประเด็นที่นักลงทุนจะต้องคิดต้องดูคือผลประกอบการ เพราะในปี 2560 ที่ผ่านมา อาจดูผลกำไรไม่สวย เนื่องจากมีการชะลอโครงการจากความล่าช้าการลงทุนของรัฐ แต่มาปี 2561 นี้ ดูจากแผนงานแล้ว เชื่อได้ว่า SENA จะมีกำไรในระดับอย่างน้อยใกล้เคียงกับปี 2559 ที่มีกำไร 762.55 ล้านบาท กำไรต่อหุ้นจะได้ที่ 0.63 บาท เพียงมาใช้พีอี 10 เท่าประเมินราคาหุ้น จะได้ราคาที่ 6.30 บาท แต่ราคาในตลาดอยู่แค่ 4.22 บาท จึงมี upside ได้อีกมากถึง 49.29% หากจ่ายปันผล 30% ก็จะได้เงินปันผลที่ 4.48% ด้วย ทำให้ SENA เป็นหุ้นที่ยังน่าลุ้นน่าลงทุนมาก