top of page
image.png

Shadow Banking เกาะหลัง Crypto


Cryptocurrencies ยิ่งนานยิ่งแทรกซึมเข้ามาสร้างความปั่นป่วนให้ระบบการเงินโลก แม้จะไม่ทำให้เงินกระดาษเสียบทบาทหรือความสำคัญ แต่ก็ทำให้ธนาคารพาณิชย์สูญเสียหน้าที่ธุรกรรมการเงินหลายด้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งการโอนและแลกเปลี่ยน เพราะนักลงทุนหันไปใช้ Blockchain Wallet Banking โอนเงินระหว่างวอลเลตแทน

Blockchain Wallet แปลกันตรงตัวว่า กระเป๋าบล็อกเชน ทำหน้าที่รับ-จ่าย-โอน-เก็บเงินที่เกิดจากกิจกรรมซื้อ-ขาย-แลกเปลี่ยนเงินตราสกุลเงินดิจิทัล หรือเรียกกันสั้นๆ ว่า crypto

ยิ่งกว่านั้นยังเป็นแหล่งเก็บ รวบรวมข้อมูลทั้งหลายแหล่ที่ใช้ประกอบการพิจารณาตัดสินใจในการลงทุน เช่น กราฟราคาทั้งในอดีตและราคาเรียลไทม์

แพลตฟอร์มที่รองรับบล็อกเชนและกิจกรรม จะมีพื้นที่ส่วนหนึ่งให้วอลเลตใช้งาน เป็นพิเศษ

บางแห่งถึงกับมีข้อความว่า “ Be Your Own Bank” ทำวอลเลตให้เป็นธนาคารของท่านเอง

แต่ละวอลเลตจะมีคำสั่งโอน (Send) และรับ (Receive) โดยฟังก์ชันนี้ จะเก็บข้อมูลการโอน/การรับอย่างละเอียด

ไม่ว่าจะเป็นจำนวนเงินที่มีอัตราแลกเปลี่ยนอัพเดทตามอัตราแลกเปลี่ยนเรียลไทม์ จากบิทคอยน์ (หรือสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ)กับดอลลาร์สหรัฐ หรือเวลา/วัน/เดือน/ปี

ในด้านการรักษาความปลอดภัยให้ข้อมูล ขณะนี้มีการปกป้องข้อมูล Blockchain Wallet ขั้นสูงสุด หลังจากมีเหตุการณ์แฮกข้อมูลส่วนตัวของเจ้าของวอลเลต ฉกเอาเงินในกระเป๋าไปหลายราย นับแต่มีการตั้งระบบบริษัท Blockchain (อังกฤษ) ตั้ง Blockchain Wallet เมื่อปี 2011 เป็นต้นมา

สิ่งที่เจ้าของกระเป๋าบล็อกเชนจะต้องระวังก็คือตัวเจ้าของเองจะต้องไม่ให้ E-mail ID ของตนรั่วไหลไปอยู่ในมือมิจฉาชีพหรือแฮกเกอร์โดยเด็ดขาด

องค์ประกอบ 3 อย่างที่บล็อกเชนใช้ดูแลและใช้งานวอลเลตก็คือ E-mail ID, หมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่ จำนวนคอยน์และสกุลเงินตรา (บาท หยวน ริงกิต ดอลลาร์สิงคโปร์ ฯลฯ)

ขณะนี้ Blockchain มีลูกค้าถึง 16 ล้านคนใน 140 ประเทศ โดยเป็นลูกค้าบิทคอยน์ทั้งหมด

แต่น่าจะเพิ่มขึ้นมาอีกหลายล้านบัญชีหลังบริษัทประกาศให้บริการ ethereum อันเป็นคอยน์อันดับสองเมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้ว

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า นักลงทุนจะซื้อ-ขาย-จ่าย-โอนแต่สองสกุลเงินดิจิทัลนี้เท่านั้น หากแต่สามารถแลกเปลี่ยน จ่าย-โอน กับเงินตราสกุลอื่นๆได้ทุกสกุล ทำหน้าที่ไม่แตกต่างไปจากธนาคารเลย

การที่รัฐบาลหรือธนาคารกลางใน 16 ประเทศ รวมทั้งไทย จีน และล่าสุดเกาหลีใต้ ไม่ยอมรับเงินดิจิทัลไม่ว่าจะสกุลไหน ทำให้การจ่ายโอนเงินตราคริปโตเป็นธุรกรรมที่กฎหมายไม่รับรอง

ผลก็คือ สรรพากรไม่สามารถเรียกเก็บภาษีเงินได้จากนักลงทุนได้ เพราะตัวเลขการโอนย้ายถ่ายเทเงินดิจิทัลไม่ได้อยู่ในระบบ

เช่นเดียวกันกับธนาคาร ที่จะได้ค่าธรรมเนียมโอนเงินก็แค่ครั้งแรกเมื่อมีการโอนเงินเข้าวอลเลตไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินสกุลดิจิทัล เพื่อการลงทุน และอีกครั้งเมื่อมีการแลกเปลี่ยนเป็นเงินกระดาษ

แต่ในการซื้อ-ขาย-จ่าย-โอนเงินในสกุลดิจิทัลนั้น ไม่สามารถเรียกเก็บภาษีเงินได้จากนักลงทุนผู้มีเงินได้จากการขายหรือทำกำไรจากการลงทุน เหมือนกับที่เรียกเก็บจากเงินได้จากการขายหุ้น

โดยเฉพาะกรณีที่นักลงทุนซื้อสินค้าจากห้างร้านที่รับชำระราคาเป็นบิทคอยน์ หรือเงินดิจิทัลสกุลอื่นๆ

เมื่อ Blockchain Wallet ทำหน้าที่ส่วนนี้แทนธนาคารได้ ต่อไปก็อาจจะให้สินเชื่อได้ เพราะมีหลักทรัพย์ประกันคือบิทคอยน์ หรือ ethereum และคอยน์อื่นๆ

แจ๊ก หม่า เข้าถึงระบบการเงินดิจิทัลอย่างทะลุปรุโปร่ง เขาจึงตั้งธนาคารดิจิทัลขึ้นมาเมื่อ 2 ปีก่อนได้แก่ธนาคาร MYbank โดยใช้ระบบอินเทอร์เน็ต Cloud เป็นศูนย์ในการทำธุรกรรมในลักษณะ “ธนาคารในอากาศ”

เพราะเงินฝาก เงินกู้ ของธนาคารล้วนจ่าย-โอน-รับ-ฝาก ผ่านระบบ Cloud ที่ แจ๊ก หม่า บอกว่าเป็นเงินบนก้อนเมฆ เรียกว่า “เงินในอากาศ” โดยมีบริษัทการเงิน Ant Financial ในเครือของอาลีบาบาเป็นผู้สนับสนุนด้านการเงิน บริษัท TechClunch ทำหน้าที่ดูแลด้านเทคนิค

บรรดาธนาคารพาณิชย์จีนพากันวิตกกังวลกันหนัก เพราะธนาคารบนก้อนเมฆกวาดลูกค้ารายเล็ก รายน้อย รายย่อย รายยิบไปหมด

แม้แต่แม่ค้า พ่อค้าแผงลอย กู้แค่ 5,000 หยวน (ประมาณ 25,000 บาท) แจ๊ก หม่า กวาดหมดขอแต่เป็นสมาชิก ซื้อ-ขาย สินค้าอาลีบาบาชำระเงินผ่าน Alipay ก็แล้วกัน

Blockchain Wallet มีโอกาสที่จะขยายบริการจากการทำหน้าที่รับ-จ่าย-โอน เป็นรีเทลแบงกิ้งได้ไม่ยาก ตามเส้นทางของ MYbank

จะดีกว่า MYbank เสียอีก เพราะ My bank ปล่อยกู้ “รายจิ๋ว” ที่ แจ๊ก หม่า เรียกว่า “little guys” โดยไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน แต่วอลเลตมีบิทคอยน์หรือคอยน์อื่นๆเป็นหลักประกัน

จะเสี่ยงอยู่บ้างก็ตรงที่ เป็นหลักทรัพย์ที่เคลื่อนไหวมูลค่าตามตลาด ซึ่งมีความผันผวน หวือหวาสูง

แต่ถ้าประเมินกันตามข้อมูลตลาด ให้สินเชื่อแค่ 30% ของมูลค่าตลาดปัจจุบัน อัตราเสี่ยงก็น้อยลง

เพราะแน่นอนว่า เมื่อราคาคอยน์สูงขึ้นกว่าช่วง “จำนำ” ลูกค้าย่อมจะแจ้งให้วอลเลตขาย เพื่อใช้หนี้หรือปิดบัญชีสินเชื่อ เหลือส่วนต่างของราคาเป็นกำไร

ธุรกรรมและกิจกรรมเช่นนี้ ย่อมจะกระทบกับธนาคารที่ดำเนินการปกติอย่างหลีกเลี่ยงมิได้

เกี่ยงแต่ว่า ณ วันนี้ มันเกิดขึ้นมาแล้วหรือยังเท่านั้น

24 views
bottom of page