เปิดศักราชใหม่ 2561 ธุรกิจประกันภัยยังคงไม่หนีกระแสสงครามแข่งเดือดแทบทุกด้าน ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มมีแนวโน้มจะสดใส เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยเป็นการแข่งขันในทุกเซ็กเมนต์การรับประกันภัย รายใหญ่ระดับท็อป 3 อย่าง บริษัท กรุงเทพประกันภัย หรือ BKI ก็เช่นเดียวกันที่ออกมายอมรับว่าผลจากภาวะธุรกิจในปีก่อน ทำให้บริษัทต้องปรับแผนการตลาดเพิ่มเติมในปีนี้ ทั้งฐานลูกค้ารายใหญ่และรายย่อย
นายอภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ BKI ให้มุมมองภาพรวมธุรกิจประกันภัยทั้งระบบในปีนี้ว่าจะดีขึ้นจากทิศทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนในอุตสาหกรรมต่างๆ เครือข่ายสาธารณูปโภคภายใต้แผนงานโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐ
ทว่า การแข่งขันด้านราคาเบี้ยประกันภัยโดยรวม จะยังไม่ปรับลดลง แต่อาจจะมีการเปลี่ยนมือผู้เล่นหน้าใหม่ๆที่ไม่เคยแข่งในตลาดมาก่อนเข้ามาทดแทนรายเดิมที่เคยแข่งขันแล้วเพลี่ยงพล้ำไป ซึ่งเป็นวัฎจักรของการแข่งขันที่เป็นเรื่องปกติ เมื่อแข่งแล้วบาดเจ็บ ก็ต้องออกไปพักรักษาตัว
ปี 2560 ที่ผ่านมา ธุรกิจแข่งตัดราคาเบี้ยกันอย่างหนัก ดังนั้น ปีนี้ประเมินว่ายังจะมีแรงกดดันทางราคาเบี้ยอยู่ แต่จะปรับลดระดับลงมาบ้าง เพราะตลาดจะตอบรับภาวะการแข่งขันโดยอัตโนมัติ ภายใต้กลไกการแข่งขันเสรี โดยจะเห็นได้ว่าบริษัทขนาดใหญ่ระดับชั้นนำที่เคยเข้ามาแข่งอย่างหนักในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ต้องหันไปทบทวนกลยุทธ์การรับประกันภัย เพื่อให้สอดคล้องกับอัตราการเคลมสินไหมที่ไม่สอดคล้องกับการกำหนดราคาต่ำ
“ที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าผู้บริโภคยังชอบการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ราคาไม่สูงมาก เพราะคิดว่ามีความคุ้มค่า แต่เมื่อต้องเกิดการเคลมสินไหม หรือมี loss ขึ้นมาแล้วไม่ได้รับบริการที่พึงพอใจ ก็จะทำให้ลูกค้าเกิดการเรียนรู้จากประสบการณ์เหล่านั้น ทำให้ไม่อยากกลับไปหาสินค้าราคาถูก แต่ไม่คุ้มค่ากับบริการหลังขาย บวกกับการซื้อขายประกันภัยออนไลน์จะเพิ่มมากขึ้น ตามแนวโน้มยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ทำให้ลูกค้าบางส่วนได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น”
เขาเชื่อว่าผลจากการแข่งขันรุนแรงจนขาดทุนนั้น ในที่สุดหลายบริษัทจะหันกลับมาขึ้นราคาเบี้ยให้เหมาะสมกับ loss ratio ทำให้กลไกตลาดเริ่มกลับมาสมดุล มีความสมเหตุสมผล ยกตัวอย่าง กลุ่มรถยนต์ไฮบริดที่เริ่มมีอัตราการเคลมสูง เกือบจะเทียบเท่ารถยนต์กลุ่มตลาดทั่วไป จะมีต้นทุนค่าซ่อม ค่าอะไหล่แพงมาก เมื่อมีการเล่นราคาเบี้ยกัน ผลที่ตามมา ก็ไม่คุ้มค่า ต้องปรับตัว โดยหันมาปรับขึ้นราคาเบี้ย หรืออาจต้องถอนตัวออกจากการแข่งขันในกลุ่มนี้ไป
“ผลประกอบการด้านการรับประกันภัยเบี้ยรถยนต์ของ BKI ช่วง 9 เดือนแรกของปีก่อน ติดลบ 7% เพราะบริษัทไม่เล่นสงครามราคา มาตรฐานเป็นอย่างไร ก็ยังคงรักษาไว้อย่างนั้น เพราะถือว่าไม่ยั่งยืน โดยจะใช้ฐานข้อมูลลูกค้าที่มีทั้งหมดมาวิเคราะห์ความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า เพื่อให้ตอบโจทย์ทุกด้าน ผลจากการนี้ จึงเชื่อว่าในปีนี้ พอร์ตเบี้ยรถยนต์รวมที่มีสัดส่วนราว 60% จะกลับมากระเตื้อง พลิกเป็นบวกมากขึ้น”
เช่นเดียวกับเซ็กเมนต์ที่ต้องระวังเป็นพิเศษสำหรับ BKI ในปีนี้ นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงปัญหาภาพรวมของประกันภัยในกลุ่ม IAR (ความเสี่ยงภัยทุกชนิด) และเบี้ยประกันภัยทรัพย์สินที่อัตราเบี้ยทั้งตลาดไหลลงไปต่ำกว่าพิกัดมากจนผิดปกติ ชนิดไม่มีเหตุผล ทำให้ประกันภัยหมวดนี้เสี่ยงต่อการขาดทุน หรือทำกำไรได้ยากมากเหมือนประกันภัยรถยนต์ บริษัทจำเป็นต้องเลี่ยงที่จะเข้าไปแข่งในกลุ่มนี้ เช่น โรงงานอุตสาหกรรม คอนโดมิเนียม ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม แผนธุรกิจเพิ่มเติมสำหรับปีนี้ จะเน้นขยายฐานลูกค้าประกันภัยรถยนต์บรรทุกและรถขนาดใหญ่มากขึ้น จากปีก่อนมีพอร์ตรถบรรทุกประมาณ 4 หมื่นคัน ซึ่งเป็นไปตามทิศทางเขตการค้าเสรีอาเซียนในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน CLMV และระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก EEC ซึ่งทำให้เกิดการเดินทางขนถ่ายสินค้า ภายใต้ระบบโลจิสติกส์ โดยฐานลูกค้าในกลุ่มนี้ จะมีเข้ามาจากเครือข่ายสาขาของบริษัทและกลุ่มลูกค้าสินเชื่อธนาคารกรุงเทพ
ทิศทางตลาดใหม่ๆ ที่น่าสนใจในปีนี้ตามเมกะเทรนด์ของโลกยุคใหม่ คือ ประกันภัยไซเบอร์ ซึ่งมีลูกค้าถามเข้ามาค่อนข้างมาก ทั้งรายเดี่ยวและรายองค์กร ภายใต้การขับเคลื่อนของเศรษฐกิจดิจิทัล ทำให้มีความเสี่ยงใหม่ๆทางเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นรอบด้าน การประกันภัยจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการตอบโจทย์แนวโน้มความเสี่ยงทางออนไลน์มากขึ้น ขึ้นอยู่กับการดีไซน์ผลิตภัณฑ์ในราคาที่เหมาะสมและมีความคุ้มครองที่คุ้มค่า
“Personal cyber insurance ก็เป็นแนวโน้มที่น่าเข้าไปจับตลาดกลุ่มลูกค้าที่เน้นทำธุรกรรมออนไลน์โดยเฉพาะ สอดคล้องกับการซื้อขายสินค้าออนไลน์ในยุคปัจจุบัน โดยมีความเสี่ยงที่ลูกค้าจะถูกแฮกข้อมูลสำคัญๆ ป้องกันการถูกหลอกลวง ทำให้เกิดความเสียหายตามมา ซึ่งบริษัทคาดว่าจะเริ่มขายได้ประมาณราวกลางปี ในทันทีที่ คปภ.อนุมัติแบบกรมธรรม์”