top of page
358556.jpg

ดีเอสไอเริ่มดมกลิ่นค้าบิทคอยน์


กิจการตัวกลางซื้อ-ขาย บิทคอยน์ในไทยเริ่มมีความเคลื่อนไหวที่ส่อไปในทางหลอกลวง เมื่อสัปดาห์ก่อนดีเอสไอเข้าไปตรวจสอบเงียบๆ 3 บริษัท นักลงทุนพากันโพสต์ในไลน์กลุ่ม เตือนให้ระมัดระวังและตรวจสอบการลงทุนกันอย่างเข้มงวดยิ่งยวด แต่บรรดาแมงเม่ายังไม่แตกตื่น เชื่อมั่นในทฤษฎีลงทุนเสี่ยง “ได้ครึ่ง เสียครึ่ง” ถือว่ากำไร

บริษัทที่ถูกดีเอสไอสอบสวนทั้ง 3 บริษัทยังไม่เป็นที่เปิดเผยชื่อ เพราะยังไม่มีการตั้งข้อหา เพียงแต่ทำไปตามคำร้องเรียนของนักลงทุน ที่ถูกบริษัทเล่นแง่ จ่ายผลประโยชน์ไม่ตรงเวลา หรือไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่ทำไว้กับนักลงทุน

บางรายมีลักษณะเป็นธุรกิจเครือข่าย (Network Business) เรียกตามภาษาธุรกิจเครือข่ายออนไลน์ว่า บล็อกเชน (blockchain)

แต่การดำเนินการจริงกลับมีลักษณะเป็น “เกมปั่นเงิน” หรือ “money game” เสียเป็นส่วนใหญ่

ที่เป็นอมตะไม่มีวันตายก็คือ แชร์ลูกโซ่ (ponzi) ที่ฉวยโอกาสจากศัพท์ใหม่หรูๆ ที่เป็นคำเรียกนวัตกรรมใหม่ทางการเงิน มาใช้เรียกกิจกรรมของตนแทน

เช่นบล็อกเชน เน็ตเวิร์ก บิทคอยน์ ฯลฯ สวมรอยดักความโลภของคนอยากรวยทางลัด

และที่กำลังเติบใหญ่ขึ้นมาก็คือ กิจการแลกเปลี่ยนบิทคอยน์เป็นเงินจริงหรือเงินกระดาษ ที่เข้าข่ายโพยก๊วนและฟอกเงิน (money laundering)

มีการตั้งตู้เอทีเอ็มที่นักลงทุนสามารถถอนบิทคอยน์และเงินตราดิจิทัลออกมาในรูปเงินกระดาษแล้วหลายสิบประเทศ เฉพาะอาเซียน มีตู้เอทีเอ็มบิทคอยน์ที่สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และกรุงเทพฯ

ตอนนี้กูรูใหญ่แห่งวอลล์สตรีท ตีความว่าการลงทุนในบิทคอยน์ว่าเป็นเป็นการเก็งกำไรและเกมพนัน

บางรายถึงกับเรียกว่าเป็น ponzi scheme แชร์ลูกโซ่ ซึ่งสอดคล้องกับที่ธนาคารกลางของอินเดียออกมาประกาศเตือนนักลงทุน ให้ใช้ความระมัดระวังในการลงทุนบิทคอยน์ เพราะขณะนี้มีหลายรายเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่...แชร์ลูกโซ่เป็นกิจการต้มตุ๋นที่แพร่มาจากอเมริกา เรียกว่ากันแบบชาวบ้านว่า Rob Jack to Pay Paul คือขโมยเงินจากแจ๊คมาจ่ายให้พอล

ของไทยเรียกว่าแชร์ลูกโซ่หรือแชร์งูกินหาง คือเอาเงินจากคนที่เข้าวงมาใหม่ไปจ่ายให้คนก่อนหน้า เป็นทอดๆ ไป จนคนสุดท้าย หรือก่อนคนสุดท้ายหลายๆ สุดท้าย เจ้ามือแชร์งดจ่ายหรือล้มวง เชิดเงินหนี

แชร์แม่ชม้อย แชร์แม่นกแก้ว แชร์ชาร์เตอร์ ฯลฯ เป็นตัวอย่างอื้อฉาวที่เกิดขึ้นในเมืองไทยเมื่อ 20 ปีก่อน

การซื้อขายบิทคอยน์นั้น มีทั้งของจริงและหลอกลวง เข้ามาเมืองไทยตั้งแต่ปี 2013 (พ.ศ. 2556) แต่เพิ่งจะมาคึกคักเอาเมื่อต้นปีที่แล้ว เมื่อราคาบิทคอยน์ขึ้นเอา ขึ้นเอาจาก ไม่กี่ร้อยดอลลาร์ เป็น 1,000, 3,000, 5,000, 8,000, 10,000, 20,000 หลังสุด 15,250 ราคาเพิ่มขึ้นเกือบ 1,000% จากเมื่อต้นปีก่อนหน้า

ราคาที่พุ่งไม่หยุด ฉุดราคาเงินดิจิทัล หรือ crypto currency ที่ปัจจุบันนี้ มีถึง1,300 สกุล แห่ขึ้นตาม

ความเติบโตของบิทคอยน์ สร้างความเปลี่ยนแปลงให้ตลาดซื้อขายเงินตรา (Forex) และตลาดซื้อขายโภคภัณฑ์ล่วงหน้าอย่างใหญ่หลวง จนทำให้ปีใหม่ 2018 ได้รับการคาดหมายว่า จะเป็นปีของเงินตราดิจิทัลและทองคำ

เงินตราดิจิทัลนั้น ได้รับการขับเคลื่อนจากราคาที่พุ่งไม่หยุดมาแต่ปีก่อนๆ...ส่วนทองคำ เพิ่งจะเข้ามาเชื่อมโยงกับบิทคอยน์เอาเมื่อต้นเดือนนี้นี่เอง

ถือเป็นตัวเลือก หรือเป็นแหล่งหลบภัย (save haven) ของเงินตรา “กระดาษ” ในกรณีที่เงินดิจิทัลที่ไม่ถือเป็นเงินจับต้องได้ (physical money) มีอันเป็นฟองสบู่แตก

สำหรับบิทคอยน์เมืองไทย ราคาวูบวาบขึ้น-ลงเป็นแสน ล่าสุด 480,000-500,000 บาทต้นๆ

ขึ้นลงวูบวาบเช่นนี้ ทำให้นักลงทุนหันไปเก็บทองคำที่ช่วงก่อนสิ้นปี ราคาหดลงไป 3 เดือนติดต่อกัน เพราะทอดสายตาแล้ว ไม่มีอะไรดีไปกว่าทองคำ save haven เจ้าเก่า

ยิ่งมีข่าวดีเอสไอสอบสวน 3 บริษัทบริการซื้อขายบิทคอยน์ และล่าสุดมีความหวาดระแวงว่าจะเกิดฟองสบู่บิทคอยน์แตก ทำให้กูรูการเงินโลกพากันเตือนให้ธนาคารกลางของทุกประเทศทั่วโลกหามาตรการไว้คอยรับมือกับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้ในปีนี้

แตกเมื่อใด สะเทือนไปทั้งโลก

ด้วยเหตุนี้ธนาคารกลางของจีนจึงสั่งห้าม “เล่น” บิทคอยน์ในอาณาเขตประเทศจีนโดยเด็ดขาด ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา....ใช่แต่สั่งห้ามเล่นเท่านั้น รัฐบาลจีนยังสั่งตัดการจ่ายกระแสไฟฟ้าไปยังบริษัทหรือแหล่งเก็บเซิฟเวอร์ ชิปประมวลผล อันเป็นฐานข้อมูลของบริษัทให้บริการซื้อขายแลกเปลี่ยนโอนเงินดิจิทัลทั่วประเทศด้วย

ทำให้บรรดาศูนย์และบริษัทให้บริการนิติกรรมเงินตราดิจิทัลพากันเคลื่อนย้ายออกนอกประเทศจีนกันจ้าละหวั่น....ที่มาใกล้บ้านเราที่สุดก็คือสิงคโปร์กับมาเลเซีย

ความเคลื่อนไหวเชิงลบเช่นนี้ ทำให้นักลงทุนหันไปหาทองคำมาเข้าคู่กับบิทคอยน์กันหนักขึ้น ทั้งทองกระดาษและทองจริง

นักวิเคราะห์ย่านเอเชียมองว่า ราคาทองคำยามนี้จะขยับขึ้นเรื่อยๆ เพราะนอกจากจะกังวลกับการขึ้นลงหวือหวาของบิทคอยน์แล้ว ยังมีแรงส่งจากอุปสงค์ของตลาดอินเดียและจีนที่มีเข้ามามาก โดยเฉพาะยิ่งใกล้ตรุษจีน ความต้องการยิ่งเพิ่มขึ้น

เป้าหมายราคาทองคำหากผ่านแนวต้าน 1327 ไปแล้ว จะอยู่ที่ 1337 และหากบิทคอยน์ยังสวิง ขึ้น-ลง ช่วงละ เป็นพันๆ ดอลลาร์ ราคาทองคำก็ยิ่งขยับขึ้น

เป็นเบาะไว้รองรับพวกที่ตกจากที่สูงที่ดีที่สุดในยามนี้

43 views
bottom of page